วันนี้ (18 ต.ค.2565) จากกรณีตำรวจสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายอดีตพยาบาล 3 คน พร้อมลูกอีก 2 คน ที่ถูกนายฮารุ ฮวังสิริ และนายตรีเพชรรัตน ณพชร หลอกให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจ โดยมีการกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย
ล่าสุด พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบวรมงคลควบคุมตัวนายฮารุ และนายตรีเพชรรัตน สองผู้ต้องหาไปฝากขัง ศาลอาญาตลิ่งชัน โดยคัดค้านการประกันตัวในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นได้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
ขณะที่นางเจริญศรี อังศิวาพงษ์ ผู้เสียหายอีกคนหนึ่ง เข้าพบพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล หลังทราบว่า ตำรวจจับ 2 ผู้ต้องหาได้ ซึ่งผู้เสียหายเคยถูกนายฮารุ ชักชวนให้เช่าที่ดินแปลงหนึ่ง บริเวณ ถ.ข้าวสาร และมีการพาไปดูที่ดินจริง จึงหลงเชื่อและโอนเงินให้หลายแสนบาทจำนวนหลายครั้งภายในระยะเวลา 1 เดือน รวมเป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท
ต่อมา ทราบว่า เป็นที่ดินที่ไม่ใช่ของนายฮารุ จึงพยายามติดต่อผู้ต้องหา แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงอ้างเดินทางไปต่างประเทศ ไม่สามารถติดต่อได้ จึงมั่นใจว่าถูกหลอก และเคยแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม ตั้งแต่ปี 2560
ส่วนการดำเนินคดีนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยจะทยอยเรียกตัวผู้เสียหาย เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจากควบคุมตัว นายฮารุ และ นายตรีเพชรรัตน มาสอบปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลบวรมงคล นายฮารุ ยังคงไม่ให้การใด ๆ เกี่ยวกับคดี ขณะที่การสอบปากคำนายตรีเพชรรัตน ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยให้การซัดทอดว่า ร่วมกับนายฮารุ ตั้งรูปแบบการหลอกลงทุนฉ้อโกงผู้เสียหาย ตระเวนพาผู้เสียหายแม่-ลูกไปขอเงิน และมีการลงโทษผู้เสียหาย ซึ่งที่ผ่านมา รับทราบพฤติการณ์ของนายฮารุมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถห้ามปรามได้
จากการตรวจสอบประวัติของนายฮารุ พบว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงหลายคดี ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ล่าสุด มีผู้เสียหายแจ้งความประสงค์ เข้ามาดูตัวผู้ต้องหา และแจ้งความแล้ว ประมาณ 20 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์จาก 3–4 โรงพยาบาล ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งการที่ผู้ต้องหาเข้าถึงกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ได้จำนวนมาก เนื่องจากมารดาของผู้ต้องหา เคยเป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลต่างจังหวัดมาก่อน
ส่วนรูปแบบการหลอกลวงฉ้อโกงของนายฮารุ เป็นการใช้จิตวิทยาหมู่ กล่อมผู้เสียหายแต่ละคนให้ดูน่าเชื่อถือจนเกิดความหลงเชื่อ ส่วนเรื่องลัทธิประหลาดที่เจ้าตัวอ้างถึง ตำรวจเชื่อว่า เป็นเพียงข้ออ้างให้การชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ