วันนี้ (7 เม.ย.2565) ศาลฎีกา พิพากษาตัดสินคดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง บุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ 711 ไร่ทำฟาร์มไก่ใน จ.ราชบุรี
โดยศาลฎีกาฯ พิพากษาให้น.ส.ปารีณา" พ้นส.ส.ทันที เหตุฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เหตุรุกที่ป่าสงวนครอบครอบที่ดินโดยไม่คืนที่ดินสู่การปฏิรูป โดยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี ทำให้ไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. และส.ว.และตำแหน่งการเมืองตลอดชีวิต ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายใน 45 วัน
ระทึก! เก้าอี้ส.ส.ศาลนัดตัดสินคดี "ปารีณา"รุกป่า 711 ไร่
เปิดคำพิพากษา "คดีปารีณารุกป่า"
สำหรับคำพิพากษาของศาลฎีกาพิพากษาให้น.ส.ปารีณา พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.นับแต่วันที่ 25 มี.ค. 64 ด้วยกระทำการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีพฤติกรรมก่อความเสียหาย ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระปี 2561 ข้อ 3 ,ข้อ 17 ข้อ 27 วรรคสอง ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่ และ พ.ร.ป.ป.ป.ช.ปี 2561 มาตรา 81 และมาตรา 87 ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ย่อมมีผลไม่มีสิทธิ์สมัคร ส.ส.-ส.ว.-ไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด
โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าตามประเด็นที่มีการวินิจฉัยคือ ผู้ร้องหรือ ป.ป.ช. มีอำนาจยื่นร้องได้ตามประมวลจริยธรรมและตามรัฐธรรมนูญมาตรา 253 และพิจารณาในข้อเท็จจริงเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวมตามประมวลจริยธรรมข้อ 3 และข้อ 27 วรรคสองว่าน.ส.ปารีณา เป็นส.ส.มีหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในอำนาจหน้าที่การเสนอพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย การเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการทำงานของกรมป่าไม้ การเป็น ส.ส. ของน.ส.ปริณา จึงไม่มีผลต่อการพิจารณาปฏิรูปที่ดิน
แต่ประเด็นวินิจฉัยว่าการกระทำความผิด มาตรฐานทางจริยธรรมข้อ 17 เรื่องการกระทำใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนั้น ชี้ถึงการดำรงตำแหน่งส.ส.ถึง 4 สมัยน.ส.ปารีณา ตั้งแต่ปี 2548 โดยปี 2554 และ 17 มิ.ย.2562 ที่มีการปฏิรูปที่ดิน แต่น.ส.ปรีณาถือครองที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินในเขตปฏิรูป ไม่มีการส่งคืนให้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน ที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องรู้ถึงคุณสมบัติการพิจารณาจัดสรรที่ดินคือ 1.ต้องเป็นเกษตรกร 2. ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบการเกษตรของตนเอง 3. ได้รับการจัดสรรไม่เกินคนละ 50 ไร่
ไร้คุณสมบัติครอบครองที่ดินรัฐ
นอกจากนี้ เพราะน.ส.ปารีณา ทราบดีว่ามีที่ดินมากกว่าเกษตรกรคนอื่นนับ 10 เท่า หากเข้าสู่การปฏิรูปที่ดินอาจทำให้สูญเสียความครอบครองที่ดิน จึงมีเจตนาไม่ส่งมอบที่ดินคืน และหลีกเลี่ยงการส่งมอบที่ดิน แม้จะส่งมอบที่ดินคืนตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.65 แต่เป็นการส่งคืนหลังการตรวจสอบ ไม่ใช่โดยการสมัครใจที่จะส่งมอบที่ดินเข้าสู่การปฏิรูปที่ดิน แต่เป็นการครอบครองอย่างต่อเนื่อง
ถือเป็นการปิดโอกาสเกษตรกรคนอื่น ทำให้ที่ดินในเขตปฏิรูปไม่ได้จัดสรรให้แก่ผู้ยากไร้และทำให้ประชาชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าทำไม ส.ส.จึงถือครองที่ดินจำนวนมาก จากนั้น น.ส.ปารีณาเป็นมา 4 สมัยถึงปัจจุบัน จึงไม่ใช่เกษตรกรที่จะได้รับการจัดสรรที่ดิน อีกทั้งที่ดินที่ถือครองเป็นคนละแหล่งที่อยู่อาศัยใน อ.โพธาราม และมีทรัพย์สินมากกว่า 163 ล้านบาท จึงถือว่าไม่ได้ยากจน และขาดคุณสมบัติการได้รับจัดสรรที่ดินตั้งแต่ต้น
ศาลจึงพิพากษาว่าเป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งหมายถึงการไม่ประพฤติตนในการรักษาชื่อเสียงทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือศรัทธา การถือครองที่ดิน 665 ไร่ทำกิจการขนาดใหญ่ ในเขตปฏิรูปที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิส่งผลต่อการใช้กฎหมายปฏิรูปทำให้ศาลพิจารณาถึงพฤติกรรม และเจตนาและความเสียหายเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
โดยกระบวนการหลังจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หรือภายในวันที่ 15 พ.ค.นี้