วันนี้ (14 ต.ค.2564) เวลา 15.00 น. กลุ่มมวลชนที่ใช้ชื่อว่า "ทะลุแก๊ส" รวมตัวกันที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยบางส่วนได้จอดรถจักรยานยนต์รวมตัวกันฝั่งหน้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ ขณะที่บางส่วนได้เข้าไปบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และได้จุดประทัดดังขึ้น 3-4 ครั้ง
โดยกลุ่มทะลุแก๊สได้นัดรวมตัวกัน เพื่อจัดกิจกรรมในเวลา 16.00 น. ซึ่งตามกำหนดการ จะมีการตั้งวงเสวนา เผาสัญลักษณ์ทางการเมือง และแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของประชาชน
ขณะที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด หรืออีโอดี ได้เข้าตรวจสอบบริเวณสถานที่ ที่มีการจัดกิจกรรม ส่วนการจราจรบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยังสัญจรได้ตามปกติ
ต่อมาในเวลา 16.00 น. ตำรวจนครบาลบูรณาการร่วมจากหลายท้องที่ เข้ากระชับพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ฝั่งร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ หลังกลุ่มมวลชน "ทะลุแก๊ส" และเครือข่าย รวมตัวเพื่อจัดกิจกรรม
ทันทีที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กลุ่มมวลชนได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากพื้นที่ เพราะเกรงว่าจะถูกควบคุมตัว ขณะที่ตำรวจนครบาลได้กระจายกำลังดูแลความเรียบร้อย และเข้าตรวจสอบบุคคล รวมทั้งขอค้นสิ่งของภายในรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียงว่าเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมหรือไม่
ในระหว่างที่ตำรวจเข้ากระชับพื้นที่ ได้มีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้น 2 ครั้ง เบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีใครได้รับบาดเจ็บ ส่วนการจราจรบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยังคงสัญจรได้ตามปกติ แต่ยังมีตำรวจประจำจุดรอบพื้นที่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์หน้าบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตำรวจนครบาลจำเป็นต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมาย หลังจากมีการรวมตัวจัดกิจกรรมของกลุ่มทะลุแก๊ส ซึ่งมีการรวมตัวหนาแน่น แต่เบื้องต้น ไม่มีการจับกุมบุคคลใด
ขณะที่ตำรวจเข้ามาเพื่อดูแลความเรียบร้อย ปรากฏว่ามีผู้ก่อเหตุบางคนได้โยนระเบิดใส่รถตู้ ซึ่งเป็นของทางราชการ ได้รับความเสียหาย 1 คัน ส่วนความเคลื่อนไหวของมวลชน หลังประกาศย้ายจุดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปที่แยกปทุมวัน ตำรวจได้เปลี่ยนกำลังอีกส่วนไปแยกปทุมวัน เพื่อรักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมาย
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า การเปลี่ยนจุดในการทำกิจกรรมของมวลชนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่มีข้อมูลทางการข่าวอยู่แล้ว และจะต้องปรับแผนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อระงับเหตุไปตามสถานการณ์ และระมัดระวังให้มากขึ้น
ส่วนการดำเนินคดี จะมี 2 วิธี คือการจับกุมขณะกระทำผิดต่อหน้า หรือหากสถานการณ์อาจบานปลาย หรือส่งผลกระทบต่อประชาชน เจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีย้อนหลัง เนื่องจากการออกมารวมตัวกันมากกว่า 10 คนขึ้นไป ถือว่ามีความผิด เพราะขณะนี้กรุงเทพฯ ยังเป็นพื้นที่สีแดง ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
นายกฯ นับถอยหลัง 2 สัปดาห์เปิดประเทศ ขอทุกฝ่ายร่วมมือให้ทันเวลา
ต้นสังกัดแจ้ง "ดาวอน - ฮวียอง" วง SF9 ติด COVID-19
วธ.ยันร่วมกฐินพระราชทาน ฉีดวัคซีนยี่ห้อไหนก็ได้ที่ อย.-WHO รับรอง