วันนี้ (2 ก.ย.2564) นายพิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีการแก้ไขปัญหา COVID-19 โดยระบุว่า การแก้ไขปัญหาที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตจาก COVID-19 เป็นจำนวนมาก โดยระหว่างการอภิปรายนายพิธาได้ใช้เอกสารโดยอ้างว่า นำมาจากเพื่อนที่ทำงานในบริษัทยาและในหน่วยงานต่าง ๆ ในต่างประเทศ มาใช้ในการประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย
รัฐบาลเพิกเฉยทำไทยได้วัคซีนช้า

นายพิธา ระบุ มีการติดต่อจากผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์ถึงรัฐบาลไทย แต่สุดท้ายไฟเซอร์ได้แจ้งว่า ไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานของรัฐบาล
อย่างน้อยเกียร์ว่างอย่างมากหรือเฉยเมยที่ไม่พิจารณาม้าตัวนี้เลย ซึ่งเอกสารชี้ว่า ล็อกผลม้า ไฟเซอร์ต้องมาตามว่าจะเอามั้ย ขณะที่ 19 พ.ย.แจ้งว่าขอให้ไทยแจ้งโดยเร็วเนื่องจากขณะนี้มีความต้องการวัคซีนอย่างสูงทั่วโลก
นอกจากนี้ นายพิธา ยังแสดงเอกสารการติดต่อระหว่างรัฐบาลไทยและโครงการ COVAX เพื่อให้ไทยเข้าร่วมโครงกา COVAX และได้แจ้งต่อรัฐบาลไทยว่า หากได้วัคซีนช้าและการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งมีการติดต่อในช่วงเดือน ก.ย.- พ.ย.2563

ต่อมาโครงการ COVAX ได้ติดตามทวงถามอีกครั้งในเดือน ธ.ค.ว่า ไทยจะเข้าร่วม โครงการ COVAX หรือไม่ และไทยได้ขาดการติดต่อกับโครงการ COVAX ไป

นอกจากนี้ ในช่วงเดือน เม.ย.2564 การที่รัฐบาลแจ้งว่า มีความพร้อม มั่นใจในคุณภาพวัคซีน และผลิตได้ พร้อมส่งเพราะเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนของอาเซียน และต่อมาอีก 2 วันในช่วงวันที่ 28 เม.ย.ไทยได้ติดต่อขอรับบริจาควัคซีนแอสตราเซนกาจากสหรัฐฯจำนวน 2 ล้านโดส และอีก 2 วันต่อมาขอเพิ่มเป็น 10 ล้านโดส และสหรัฐฯได้ตอบและระบุว่า บริจาควัคซีนในโครงการ COVAX เท่านั้น

นอกจากนี้ยังได้การขอวัคซีนสโนฟี่จากฝรั่งเศสซึ่งซึ่งก็ได้รับแจ้งว่า บริจาคผ่านโครงการ COVAX เช่นกัน
ชี้รัฐบาลไร้เอกภาพ

นายพิธายังพูดถึง ปัญหาความเป็นเอกภาพของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข โดยย้ำว่า การทูตวัคซีนต้องมีเอกภาพ โดยระบุว่า วันที่ 1 มิ.ย.รัฐบาลไทยติดต่อไปที่ทำเนียบขาว สหรัฐอเมิรกาโดยให้สหรัฐฯปรับนโยบายจากเดิม 1 ประเทศ 1 สัญญา โดยปรับให้เป็น 1 ประเทศ 2 สัญญา เพื่อให้สามารถเจรจาให้ได้ทั้ง 2 กระทรวงของไทย
เมื่อม้าเต็งไม่มาตามนัด ม้ามืดจึงมาเป็นม้าหลัก และซีอีโอซิโนแวค ให้สัมภาษณ์บลูกเบิร์กว่า ซิโนแวคสู้เดลต้าไม่ได้
ชี้ “ซิโนแวค” มีประวัติติดสินบน
นายพิธา ยังกล่าวถึง ความน่าเชื่อถือของวัคซีนซิโนแวค โดยระบุว่า เคยมีประวัติติดสินบน โดยให้ อย.ของจีนอนุมัติวัคซีนหลายชนิดในช่วงปี 200 – 2011 ซึ่งอาจจะมีผลต่อวัคซีนที่จะถูกนำมาใช้ในไทย
การจะเลือกวัคซีนเป็นวัคซีนหลัก นายกฯได้มองรอบด้านแล้วหรือยัง
ใช้บรรทัดฐานเดียวกันจัดหา ATK
นายพิธา ยังกล่าวถึงการจัดหาชุดตรวจ ATK ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบชุดตรวจ ATK ที่มาจากประเทศจีนยี่ห้อหนึ่ง โดยเน้นเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งมีการท้วงติงจากประเทศสเปนและยุโรปว่า ชุดตรวจดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพ การตรวจมาตรฐานโดยองค์การอาหารและยา และความกังวลเกี่ยวกับกรรมการของบริษัท
ดังนั้น ในการจัดหาชุดตรวจ ATK จำนวน 8.5 ล้านชุด ยี่ห้อ lepu ควรใช้บรรทัดฐานในการตรวจสอบเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพเดียวกัน เนื่องจาก ATK ยี่ห้อ lepu ได้รับคำเตือนจาก อย.สหรัฐฯ และถูกดึงกลับเนื่องจากแปลผลผิดพลาด และมีเอกสารที่สหรัฐฯส่งไปยัง lepu ประเทศจีนว่า มีปัญหาในการแปรผลผิด และมีการท้วงติงจากสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ อินเดีย ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบชุดตรวจ ATK เช่นเดียวกับยี่ห้อจากจีนยี่ห้อแรก รวมถึงการตรวจมาตรฐาน อย.นั้นมีความรอบคอบและตรวจสอบเพียงพอหรือไม่
และ กรณีผู้ถือหุ้นบริษัท Lepu พบว่า ผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้น 50 % เป็นทันตแพทย์ ซึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่ง 4 วันก่อนประมูล และผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นชาวรัสเซีย ที่บริษัทจดทะเบียนที่เบริส ที่ขึ้นชื่อเรื่องการฟอกเงิน
คำถามคือ รัฐบาลถ้าบรรทัดฐานกับบริษัทอื่นเป็นแบบนี้ และที่ท่านซื้อ เป็นบรรทัดฐานเดียวกันหรือไม่ ซึ่งน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่
นอกจากนี้ ยังพบว่า บ.ผู้ผลิตวัคซีน Lepu มีประวัตติดสินบนให้กับแพทย์ในการโฆษณาและชักจูงว่าผลิตภัณฑ์น่าใช้มากกว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นด้วย
แท็กที่เกี่ยวข้อง: