ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นายกฯ ลุกโต้ปมปกปิดตัวเลขโควิด ขออย่าใช้คำว่า "ค้าความตาย"

การเมือง
31 ส.ค. 64
19:42
545
Logo Thai PBS
นายกฯ ลุกโต้ปมปกปิดตัวเลขโควิด ขออย่าใช้คำว่า "ค้าความตาย"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุกขึ้นโต้ปมปกปิดตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ยืนยันสถานการณ์ดีขึ้น ระบบสาธารณสุขไม่ล้มเหลว ขออย่าใช้คำว่า "ค้าความตาย" เพราะเสียใจกับทุกการสูญเสีย พร้อมชี้แจงประเด็นวัคซีน- ATK

วันนี้ (31 ส.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.47 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในประเด็นการบริหารจัดการสถานการณ์ COVID-19 โดยระบุว่า แม้ COVID-19 จะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักหรือรู้จริง แต่รัฐบาลได้จัดเตรียมแผนเผชิญเหตุ และกำหนดมาตรการควบคุมโรคที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ระหว่างนี้อาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ระบบสาธารณสุขล้มเหลว

ส่วนการสั่งการให้ดำเนินการ ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามมติและความเห็นชอบร่วมกัน ไม่ได้นำทหารมาขับเคลื่อน มีการใช้ข้อมูลวิชาการและหารือกับหลายฝ่ายเพื่อเตรียมมาตรการรองรับอยู่เสมอ ด้วยการใช้งบฯ ที่มีอยู่ "ผมเชื่อมั่นว่า ผมทำในระดับรัฐบาลและรัฐมนตรีผมไม่มีทุจริต และไม่คุ้นเคยกับการทุจริต ผมเป็นทหารมาก่อน ดังนั้น การตัดสินใจของทหารต้องมองผลดี ผลเสีย แล้วให้ข้อสังเกต"

เรื่องผมสั่งการเป็นการสั่งการตามมติและความเห็นชอบร่วมกัน ไม่เคยแอบเรียกใครไปสั่ง สั่งการโดยเปิดเผย อย่าหาว่าผมสั่งการโดยเผด็จการ ติดนิสัย ผมไม่ใช่คนแบบนั้น


พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ที่สมาชิกอภิปรายว่าไม่มีการพัฒนาใด ๆ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า แม้ช่วงแรกจะมีการตกหล่นไปบ้าง เพราะโรงพยาบาลเตียงเต็ม แต่ขณะนี้ได้มีการพัฒนาโรงพยาบาลสนามและระบบต่าง ๆ ทไให้สถานการณ์ดีขึ้น "ไม่มีการปกปิดยอด ผมทำไม่ได้หรอก เพราะตัวเลขต้องรายงานไปองค์กรต่างประเทศด้วย รัฐบาลก็พยายามทำให้ดีที่สุด"

นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า ได้พยายามทำให้ดีที่สุด และเสียใจกับความสูญเสียในฐานะหัวอกคนมีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ใครเสียชีวิตก็เสียใจ เพราะแบกรับชีวิตของคนทุกคนไว้ จึงมั่นใจว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้เกิดปัญหา

ผมเสียใจที่มีการสูญเสีย ผมไม่อาจจะไปค้าความตายอะไรหรอก เพราะฉะนั้น อย่าไปใช้คำพูดที่เว่อร์เกินไป ผมก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ใครเสียชีวิต ผมก็เสียใจ 

โต้แทงม้าตัวเดียว ลั่นประเทศเข้าโคแวกซ์ยังไม่ได้วัคซีน

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงประเด็นวัคซีน COVID-19 โดยระบุว่า เรื่องวัคซีนความต้องการกับภาคการผลิตไม่เท่ากัน ประเทศไทยมีโรงงานผลิตได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเป็นการรับจ้างผลิต แต่ได้รับคำยืนยันจากบริษัทใหญ่ว่าจะจัดหาวัคซีนให้ไทยให้ได้ครบ 61 ล้านโดสในปลายปี

ส่วนเรื่องการนำเข้าวัคซีนของเอกชน ยืนยันไม่เคยขัดข้อง เรื่องการโอนอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย 40 ฉบับของรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ เป็นการโอนอำนาจชั่วคราว เพื่อให้มีการสั่งการในสถานการณ์ฉุกเฉินและแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที "ไม่ใช่ฉุกเฉินตลอด สั่งแบบนั้นก็บ้าแล้ว"

สำหรับเรื่องแทงม้าตัวเดียว จัดซื้อวัคซีนช้า ไม่เข้าโคแวกซ์ "วันนี้คนที่เป็นสมาชิกโคแวกซ์ก็ยังไม่ได้ตามความต้องการเลย ไปดูสิ ผมมีตัวเลขทั้งหมด" นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ระยะที่ 2 อาจจะดำเนินการได้ เพราะมีการปลดล็อกพอสมควร แต่ไทยพยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด ส่วนที่มีการบริจาควัคซีนให้ไทยนั้นเป็นเพราะน้ำใจของมิตรประเทศ

ท่านคิดว่าคนอย่างผมจะขอคนหรือ จิตใจผมมีแต่ให้ ผมยังนึกอยู่เลย ถ้าวัคซีนเรามีเพียงพอ ผมก็ต้องดูแลอาเซียน


พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่ต้องการให้ด้อยค่าวัคซีนใดทั้งสิ้น พร้อมชี้ให้ดูตัวเลขผู้ป่วยที่รักษาหายว่าเพิ่มขึ้นเท่าใด หากไม่ฉีดวัคซีนเลย รอเพียงวัคซีนดี ๆ อาจมีคนเสียชีวิตมากกว่านี้ "ตายคนเดียวผมก็ไม่พอใจ ไม่มีความสุขอยู่แล้ว" ขณะนี้ไทยจำเป็นต้องอยู่กับ COVID-19 ให้ได้ โดยใช้ Universal Prevention COVID-19 เพื่อให้เศรษฐกิจและสุขภาพเดินหน้าไปด้วยกันได้

ยืนยันไม่เคยสั่งให้ซื้อ ATK ที่ผ่าน WHO

นายกรัฐมนตรี ยังได้ชี้แจงกรณีชุดตรวจ ATK โดยระบุว่า นอกจากรัฐบาลนำเข้า 8.5 ล้านชิ้น ได้มีการนำเข้ามาหลายยี่ห้อ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยสั่งให้ซื้อ ATK ที่ผ่าน WHO ในการประชุม ศบค.

ผมจำได้ว่าผมไม่ได้พูด ถอดเทปมาก็ไม่มี เพราะขณะนั้นยังไม่มี ATK ชนิดใดที่ WHO รับรองให้ประชาชนใช้ มีเพียงให้บุคลากรแพทย์ใช้เท่านั้น ก็ว่ากันไปตามหลักฐานแล้วกัน

ส่วนเรื่องการศึกษามีการพาดพิงว่า สอนให้ประชาชนโง่ โดยระบุว่า ถ้าสอนอย่างนี้สอนกันมานานแล้ว "ผมกำลังสอนให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่พูดอะไรมาก็เชื่อ ถ้าเชื่อแบบนี้เขาเรียกว่าไม่ฉลาด ผมทำให้ฉลาดขึ้น" โดยกระทรวงศึกษาธิการเตรียมไว้หลายอย่าง การปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่เปลี่ยนครั้งเดียวทำได้ทั้งหมด


ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ทิ้งท้ายว่า ได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์ให้พูดจาให้เรียบร้อย สุภาพ ใจเย็น ๆ ไม่ใช้คำพูดหยาบคาย ดูถูก สอนมาว่า "สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล" จึงต้องการให้สภาฯ แห่งนี้เป็นสภาฯ อันทรงเกียรติ พร้อมขอบคุณสมาชิกที่นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์และใช้วาจาที่สุภาพ

ต่อมาเวลา 19.10 น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายโดยย้ำเสียงดังว่า ขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในขณะที่นายกฯ กำลังเดินออกจากห้องประชุมรัฐสภา หลังลุกขึ้นชี้แจงแล้วเสร็จ สร้างรอยยิ้มต่อที่ประชุมสภา

ชี้นายกฯ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเกราะกำบัง

พล.ต.ต.สุพิศาล ระบุว่า นายกรัฐมนตรีฉวยใช้โอกาสการระบาด COVID-19 โดยนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมาบังคับใช้ ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 นานถึง 16 เดือนแล้ว และยังมีการยกระดับใช้อำนาจในมาตรา 5 กรณีอ้างเรื่องขบวนเสด็จฯ ซึ่งพรรคเคยเสนอให้สภาฯ ตรวจสอบตั้งแต่ 2 พ.ย.2563 แต่ยังไม่มีการนำญัตตินี้เข้าสู่สภาฯ


ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิกฤตโรคระบาด แต่ออกแบบใช้ในสถานการณ์ชายแดนใต้ตั้งแต่ปี 2548 จึงไม่ต้องการให้ฉวยโอกาสนำกฎหมายพิเศษนี้มาเป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ควบคุมสื่อ พล.ต.ต.สุพิศาล เชื่อว่า นายกรัฐมนตรีจงใจใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นเกราะกำบัง ไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนการล้อมปราบประชาชนปี 2553

พล.ต.ต.สุพิศาล ทิ้งท้ายว่า เป็นตำรวจและเกษียณมา 7 ปี ไม่เคยเห็น "ภาพประชาชนโกรธแค้นตำรวจถึงประกาศไม่เผาศพ แม่ค้าไม่ขายอาหาร" จนบางหน่วยงดแต่งเครื่องแบบออกจากบ้าน ครั้งสุดท้ายที่เคยเห็นภาพอัปยศนี้เหตุการณ์พฤษภาปี 2535 ซึ่งเคยเป็น ผบ.หมู่คุมแถวสะพานผ่านฟ้าเป็นเหตุการณ์ประชาชนขับไล่นายกรัฐมนตรีจากรัฐประหาร

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง