วันนี้ (5 ก.พ.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจัดหาวัคซีน COVID-19 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า ตามแผนประเทศไทยมีการสั่งจองวัคซีนล่วงหน้านานแล้ว จากบริษัทแอสตราเซนเนกา ที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ รวม 61 ล้านโดส ครอบคลุมร้อยละ 50 ของประชากรไทยและคนไทยจะได้วัคซีนฟรี ซึ่งเมื่อพิจารณาสถานการณ์โรคในไทย คณะแพทย์ได้วางแผนให้มีการฉีดในเดือน มิ.ย.เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามแผนเดิม ไม่ได้ล่าช้า
นายอนุทน ระบุอีกว่า ช่วงต้นปี 2564 ไทยมีการแพร่ระบาดระลอก 2 จึงได้เจรจากับผู้ผลิตอีกหลายแห่ง เพื่อให้นำเข้ามารองรับในสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว โดยได้เจรจากับแอสตราเซเนกา เพื่อนำวัคซีนจากแหล่งผลิตในยุโรปมาให้ก่อน 1.5 แสนโดส แต่ติดปัญหาเรื่องการขนส่งวัคซีนออกจากยุโรป
ขณะนี้สถานการณ์โรคในไทยมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น คุมการระบาดได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้วัคซีนมาก่อนแผนเดิม แต่ทุกฝ่ายพยายามเต็มที่ที่จะดำเนินการให้ได้วัคซีนล็อตนำเข้ามาก่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ล็อตใหญ่ โดยหากได้มาก่อนก็ถือว่าดี จะทำให้มีต้นแบบการฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมความพร้อมแผนการฉีด การจัดเก็บ การกระจาย และแผนสังเกตการณ์ผลข้างเคียง ก่อนจะมีการฉีดแพร่หลายในเดือน มิ.ย.นี้
วางเป้าวัคซีน 63 ล้านโดสฉีดคนไทย 3 ระยะ
ขณะที่ รศ.พิเศษ นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมจัดหาวัคซีนประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 วางเป้าหมายไว้ 63 ล้านโดส
ขณะที่แผนวัคซีน COVID-19 ของไทย จะแบ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายใน 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 เน้น 4 กลุ่มแรก คือ บุคลากรทาการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน บุคคลที่มีโรคประจำตัว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค COVID-19 ที่มี โอกาสสัมผัสผู้ป่วย
ระยะที่ 2 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อ COVID-19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก เช่น เจ้าหน้าที่บริการสาธารณะ เเละภาคการท่องเที่ยว
และระยะที่ 3 เมื่อมีวัคซีนเพียงพอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูให้ประเทศกลับมาสู่ภาวะปกติ กลุ่มเป้าหมายได้แก่ประชาชนทั่วไป