ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดปม : พิพาทวัดบุไผ่

สังคม
23 ต.ค. 63
14:58
1,730
Logo Thai PBS
เปิดปม : พิพาทวัดบุไผ่
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มอบเงินบริจาคเพื่อซื้อที่ดินเพื่อขยายวัดบุไผ่ตั้งแต่ปี 2550 เรื่อยมา เป้าหมายเพื่อให้เป็นแดนมหามงคลบนถนนสาย 304 ให้ผู้ใช้เส้นทางได้กราบไหว้ขอพร แต่ขณะนี้ การซื้อที่ดินเมื่อ 13 ปีก่อนกำลังกลายเป็นข้อพิพาท

รูปหล่อหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ องค์ใหญ่ ตั้งตระหง่านบนเนินเขา บริเวณวัดบุไผ่ บ้านบุไผ่ ตำบลไทยสามัคคี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อคูณ หรือ พระเทพประทานพร ที่ต้องการให้สถานที่นี้เป็นหลักชัยประตูเมืองเชื่อมต่อระหว่างภาคอีสานกับภาคตะวัน เป็นหนึ่งในแดนมหามงคลบนเส้นทางถนนสาย 304 นครราชสีมา – กบินทร์บุรี ที่ผู้สัญจรได้กราบไหว้ขอรแทนตัวหลวงพ่อคูณที่มรณภาพเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 ดังพรที่ว่า “กูให้มึงเดินทางปลอดภัย ครอบครัวมีสุข”

แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัดบุไผ่กลับไม่ร่มเย็นเท่าใดนักในเวลานี้

 

ปัญหาข้อพิพาทระหว่างวัดบุไผ่ กับ มูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ที่มีพลตำรวจตรีมหัคพันธ์ สุรคุปต์ เป็นประธานกรรมการมูลนิธิ เพื่อติดตามทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาทกลับคืนวัดบุไผ่ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา หลังจาก หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2558

ย้อนกลับตั้งแต่ปี 2550 หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มอบเงินบริจาคให้วัดบุไผ่ เพื่อซื้อที่ดินขยายวัด แต่กลับพบว่า มีการระบุชื่อพลตำรวจตรีมหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ ประธานกรรมการวัดบุไผ่ในขณะนั้น เป็นผู้ซื้อและลงชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน

จากนั้น มีการพัฒนาวัดบุไผ่ ก่อสร้างศาลาการเปรียญ หอระฆัง รั้วกำแพงวัด ซุ้มใบเสมา วิหาร เมรุ และโครงการสร้างรูปหล่อหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ตามลำดับ พร้อมๆ กับการขอซื้อที่ดินเขตติดต่อกับวัดเพื่อขยายพื้นที่วัดบุไผ่เพิ่มเติมเพื่อรองรับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยจัดตั้งคณะกรรมการวัดบุไผ่ ขึ้นมา 1 คณะ เพื่อการบริหารงาน ลงนามโดยพระคูณ ชยคุโณ รักษาการเจ้าอาวาสวัดบุไผ่ โดยมีพลตำรวจตรีมหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ เป็นประธานกรรมการวัดบุไผ่ และ เป็นประธานกรรมการวัดบ้านไร่ด้วย

วัดบุไผ่ได้รับการพัฒนาขยายอาณาเขตเรื่อยมา กระทั่ง การก่อสร้างรูปหล่อหลวงพ่อคูณองค์ใหญ่แล้วเสร็จ จากทุนทรัพย์แรงศรัทธาที่ได้มาจากหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อุปถัมภ์กว่า 70 ล้านบาท ทำให้วัดบุไผ่ เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า วัดบ้านไร่ 2

ข้อมูลจากรายงานการสืบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า การจัดซื้อที่ดินเพื่อขยายวัดบุไผ่ จำนวนรวม 9 แปลง โดย 8 แปลงมีอาณาเขตติดต่อกับวัดบุไผ่ รวมที่ดินส่วนต่อขยายจากวัดบุไผ่ เนื้อที่ประมาณ 14 ไร่

 

รายงานการสอบสวนระบุว่า เจ้าของที่ดินให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่า บุคคลที่มาติดต่อขอซื้อที่ดินล้วนมีความเกี่ยวข้องกับวัดบุไผ่ และเจ้าของที่ดินทุกคนโดยมีเจตนาขายที่ดินให้วัดเพื่อขยายพื้นที่พัฒนาวัดบุไผ่ ไม่ต้องการขายให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือมูลนิธิฯ เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคล

ที่ดินทุกแปลง เป็นที่ดินเสียภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภ.บ.ท. 5 ถูกโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดินเป็นชื่อ พลตำรวจตรีมหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ ทั้งหมด ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ปี 2550 ถึง 2558

 

มีข้อมูลว่า ที่ดิน 14 ไร่ ตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ จำนวน 8 แปลง ที่มีชื่อพลตำรวจตรีมหัคฆพันธ์ เป็นเจ้าของที่ดิน ถูกยกมอบให้มูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ไปตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2557 แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของที่ดิน ขณะที่ ที่ดินแปลงที่ 9 ที่ยังไม่มีการยกให้กับมูลนิธิฯ

 

พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์  ประธานกรรมการมูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ให้เหตุผลที่ใส่ชื่อของตนเองเป็นเจ้าของที่ดิน เนื่องจากช่วงซื้อขายที่ดิน ยังไม่ได้จัดตั้งมูลนิธิ รวมทั้งเพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรมต่างๆ

ใช้ชื่อผมมาตลอดทั้งที่ยกให้วัดด้วยเพื่อสะดวกในการบริหาร ผมจะซื้อไว้ทำประโยชน์ส่วนตัวมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ซื้อเป็นของมูลนิธิฯ มันอยู่รั้วเดียวกับวัด ถูกไหม ที่ทำอย่างนี้เพื่ออำนาจในการบริหาร เผื่อมูลนิธิฯไม่ถูกกับเจ้าอาวาสอย่างเช่นทุกวันนี้มันก็อยู่ยาก เจ้าอาวาสมีอำนาจเยอะใน พ.ร.บ.สงฆ์ สามารถไล่เราได้ แล้วทุกคนที่เราปรึกษาหารือก็เห็นชอบ หลวงพ่อคูณก็เห็นชอบ ผมทำคนเดียวได้ที่ไหน

ในเอกสารของดีเอสไอปรากฏความเห็นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในส่วนวัดบุไผ่ร้องขอให้ตรวจสอบประเด็นการจัดซื้อที่ดินเพื่อขยายวัดบุไผ่ กระทั่งมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในใบรายการที่ดินตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ ที่ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ อ้างว่าใส่ชื่อไว้ก่อน ต่อมาจึงยกให้มูลนิธิฯ โดยระบุว่า เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เนื่องจากขัดแย้งกับคำให้การของนายธนุพงษ์ เรืองวิเศษ ปลัดเทศบาลตำบลศาลเจ้าพ่อ ให้ถ้อยคำว่า การแก้ไขเปลี่ยนแปลง ภ.บ.ท.5 ทางทะเบียนที่เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลเป็นเจ้าของที่ดินสามารถทำได้ โดยยื่นตามแบบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด ตาม พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นายรณกร บุญนาจเสวี ทนายความของมูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ให้ข้อมูลอ้างอิงจากคำพิพากษาศาลจังหวัดนครราชสีมา ในคดีความแพ่งที่วัดบุไผ่เป็นโจทก์ ฟ้อง พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ และมูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 โดยระบุว่า วัดบุไผ่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ส่วนจำเลยทั้งสอง หมายถึงพล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ และมูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิจึงเป็นการทำละเมิดต่อวัดบุไผ่ ต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้วัดบุไผ่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 จนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท ภายใน 30 วัน

 

แต่จนถึงขณะนี้ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ และ มูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ ยังไม่ออกจากพื้นที่

คือว่าเราคิดว่าเรามีสิทธิที่จะอยู่บนที่ดินนั้นอยู่จึงได้อุทธรณ์คำพิพากษา เพื่อแสดงให้เห็นว่า ทางมูลนิธิฯ และ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ก็มีสิทธิอยู่บนที่ดินนั้นเช่นเดียวกัน ต้องการให้วัดเข้ามามีส่วนร่วมกับมูลนิธิฯ ร่วมกันดูแลและบริหารวัดไปด้วยกัน แทนที่จะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีสิทธิผูกขาดในเรื่องการบริหารจัดการวัดเพียงผู้เดียว ณ ขณะนี้ ถึงแม้ว่า คำสั่งศาลจะให้ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ และมูลนิธิฯออกจากวัด แต่มูลนิธิฯ ยังดูแลวัดอยู่ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในวัด ทางมูลนิธิฯ ก็ยังเป็นผู้รับผิดชอบอยู่

ขณะที่ นายวุธศักดิ์ นิยมนา ไวยาวัจกรวัดบุไผ่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา มองว่า การทำงานร่วมกันระหว่างวัดบุไผ่กับมูลนิธิฯ ในขณะนี้ น่าจะเป็นเรื่องยาก

ผมอยากให้แบ่งเงินเป็น 3 ก้อน ก้อนที่ 1 เป็นค่าใช้จ่ายในวัดดูแลพระที่เจ็บป่วยอาพาธ ก้อนที่ 2 อยากให้เก็บไว้บูรณปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ที่สร้างมาให้ชัดเจนเป็นระบบ ก้อนที่ 3 สำคัญที่สุด ต้องทำตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อคูณ คือมีรูปหล่อเหมือนของท่าน หรือ จำหน่ายวัตถุมงคลของท่านต่างๆนานา ต้องบริจาคกลับคืนสู่สาธารณะ ตอนนี้คงจะร่วมกันกับมูลนิธิฯบริหารยากแล้ว วัดต่างๆที่ไม่มีท่านยังบริหารกันได้ เราลองมาดูคนอื่นบริหารกันบ้างดีกว่า เผื่อจะได้ทำตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อคูณ

สำหรับ คดีแพ่งที่วัดบุไผ่เป็นโจทก์ฟ้องติดตามทรัพย์สินกลับคืนวัดนั้น ศาลจังหวัดนครราชสีมาพิพากษาชั้นต้นให้วัดบุไผ่ชนะคดี ขณะนี้ จำเลยคือ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ และ มูลนิธิวัดบ้านไร่ 2 หลวงพ่อคูณองค์ใหญ่ อยู่ระหว่างการอุทธรณ์และยื่นทุเลาการบังคับคดี

ส่วนกรณี พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครราชสีมากล่าวหานายวุธศักดิ์ นิยมนา และนายเชาวลิต เงินรวง ไวยาวัจกรวัดบุไผ่ หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563

 

ขณะที่ คดีอาญาฐานแจ้งความเท็จ ซึ่งเป็นอีกคดีหนึ่งที่ พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 ให้ดำเนินคดีกับนายวุธศักดิ์ นิยมนา และนายเชาวลิต เงินรวง ไวยาวัจกรวัดบุไผ่ รวมทั้งเจ้าคณะอำเภอวังน้ำเขียว และเจ้าคณะตำบลไทยสามัคคี ศาลพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง