วันนี้ (10 มี.ค.2563) แหล่งข่าวจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เปิดเผยกับไทยพีบีเอส ถึงสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ปฏิบัติงานกู้ชีพกู้ภัย (First Responder, FR) ด่านแรกที่ต้องสัมผัสผู้ประสบเหตุซึ่งอาจมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส
ทีมกู้ชีพกู้ภัยประกอบด้วยคนขับรถและเจ้าหน้าที่อีก 2 คน ต้องรับผู้ป่วยไม่น้อยกว่าเดือนละ 150,000 กรณี เมื่อรวมกับผู้ป่วย 1 คน จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัยอย่างน้อย 4 ชิ้นต่อครั้ง หรือเดือนละไม่น้อยกว่า 600,000 ชิ้น ที่ผ่านมาได้รับจัดสรรหน้ากากอนามัยตามโควตาของกระทรวงสาธารณสุข แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับ โดยประสานกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงไปแล้ว และยังไม่ทราบกำหนดเวลาที่ชัดเจน
ได้พูดคุยกับมูลนิธิต่างๆ เขาไม่กลัวการทำงานช่วยเหลือคนในช่วงที่มีโรคระบาด แต่ขอให้สนับสนุนอุปกรณ์ และต้องการข้อมูลของคนไข้แต่ละกรณี ว่ามีความเสี่ยงในระดับใด จะได้รับมือได้อย่างถูกต้อง
ที่ผ่านมา สพฉ.สนับสนุนน้ำยาทำความสะอาดรถหลังเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละครั้ง แต่ยังขาดแคลนอุปกรณ์จำเป็น ทั้งหน้ากากอนามัย ชุดป้องกัน หรือแอลกอฮอล์ โดยในสถานการณ์ปกติจะใช้งบชดเชยค่าบริการจัดสรรให้มูลนิธิและทีมกู้ภัยไปจัดหาซื้อเอง แต่ในภาวะที่มีการแพร่ระบาดของโรค ต้องประสานกับหลายภาคส่วนเพื่อขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ยืนยันว่าแม้จะเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 ก็จะบริหารจัดการไม่ให้กระทบต่อการบริการช่วยเหลือประชาชน
อย่างไรก็ตาม หากผู้ปฏิบัติงานกลายเป็นผู้มีความเสี่ยงต้องถูกกักตัว 14 วัน จะกระทบต่อการทำงาน จำเป็นต้องสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ใหม่ให้พร้อมทำงานแทน โดยขอกำลังเสริมจากทหาร ตำรวจ และ ปภ.ไว้แล้ว"
ที่ผ่านมาโรงพยาบาลไม่เคยสำรองหน้ากากอนามัย เพราะเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่นเดียวกับมูลนิธิกู้ชีพกู้ภัย แต่กรณี COVID-19 ระบาด เกิดการกักตุนอุปกรณ์จำเป็นจนขาดแคลนอย่างหนัก ทำให้เราก็ต้องกลับมาทบทวนเรื่องนี้กันใหม่ด้วย