กรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์ @ChangeSiam ลงรูปภาพร่างของ “ซีอุย แซ่อึ้ง” ในพิพิธภัณฑ์ของโรงพยาบาลศิริราช พร้อมข้อความว่า ปัจจุบัน เค้ารู้กันหมดแล้วว่า "ซีอุย" ไม่ได้ฆ่าและกินเครื่องในมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการถูกใส่ร้าย แต่พิพิธภัณฑ์ที่ศิริราชก็ยังเอาศพของเขามาโชว์และยังตราหน้าว่าเป็น "มนุษย์กินคน" แม้คนตาย ศพก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรม" ข้อความดังกล่าวถูกรีทวีตไปแล้วกว่า 80,000 ครั้ง
กระทั่งต่อมาได้มีคนตั้งแคมเปญในเว็บไซต์ change.org เพื่อให้ประชาชนร่วมลงชื่อในหัวข้อ "นำร่าง ซีอุย แซ่อึ้ง ออกจากพิพิธภัณฑ์ศิริราช คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ล้างฉายามนุษย์กินคน" ขณะนี้มีคนร่วมลงชื่อแล้วกว่า 10,000 คน
ผู้สร้างแคมแปญ ฟาโรห์ จักรภัทรานน ระบุข้อความว่า ผมเชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก "ซีอุย" ชายที่แม้แต่เด็กที่ร้องไห้ยังต้องหยุดร้องเมื่อได้ยินชื่อของเขา พร้อมกับประโยคสุดคลาสสิกของพ่อแม่ "ถ้าไม่หยุดร้อง เดี๋ยวซีอุยมากินตับนะ!!"
ตำนานฆาตกรฆ่าเด็กผ่าท้องเอาหัวใจและตับเด็กไปต้มกิน ถูกสื่อสำนักพิมพ์ต่างๆในยุคนั้นโหมกระหน่ำใส่สีตีไข่กันอย่างสนุกสนาน ประกอบกับการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนั้นที่เต็มไปด้วยข้อกังขามากมายว่า เหตุใดคำสารภาพในหลายๆคดีของซีอุยนั้น จึงไม่ตรงกับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
หลายคดีแม้แต่ครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิตยังปฏิเสธว่าซีอุยนั้นไม่ใช่ฆาตกร หรือในบางคดีที่เขารับสารภาพ สามารถจับตัวผู้กระทำความผิดตัวจริงได้แล้วเสียด้วยซ้ำ
อีกทั้งยังปรากฏในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าคดีที่ซีอุยถูกพิพากษาประหารชีวิตนั้นคือคดีฆาตกรรมเด็กชายสมบุญ บุณยกาญจน์ คดีสุดท้ายเพียงคดีเดียว และในคดีนั้นซีอุยไม่ได้กินตับและหัวใจของเด็กชายสมบุญแต่อย่างใด
ต่อมาได้มีการนำเรื่องราวของซีอุยมาผลิตซ้ำผ่านสื่อทั้งภาพยนต์ ละคร และนวนิยายอีกมากมาย
ทั้งที่จวบจนปัจจุบันนี้ยังไม่มีหลักฐานใดเลยที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าซีอุย เคยได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อมนุษย์
เกือบ 60 ปีแล้วนับแต่วันที่ซีอุยถูกประหารชีวิต แม้เขาจะได้รับโทษประหารไปแล้วแต่ร่างของเขายังถูกจองจำในตู้โชว์ของพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลเดชวิกรม โรงพยาบาลศิริราช และตราหน้าบนป้ายชื่อเหนือตู้โชว์ว่าว่าชายผู้นี้ คือ "มนุษย์กินคน"
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะมาร่วมกันลงชื่อรณรงค์ให้พิพิธภัณฑ์ยุติการจัดแสดงร่างของซีอุย และคืนศักดิ์ศรีและความยุติธรรมให้กับชายผู้นี้ด้วยการนำร่างของเขาไปประกอบพิธีทางศาสนา และลบล้างตราบบาป "มนุษย์กินคน" ด้วยการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้
เพื่อให้สังคมไทยได้เรียนรู้จากความผิดพลาดว่าในอดีตเคยมีชายคนหนึ่งตกเป็นจำเลยสังคมเพราะการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีพยานหลักฐานของสื่อสำนักพิมพ์ และเพื่อเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวในการตระหนักถึงสิทธิและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งตนเองและผู้อื่น