วันนี้ (14 พ.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนใช้มาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ร้อยละ 25 ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า การที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเพิ่ม 2 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีนขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ตอบโต้มูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลกระทบให้มูลค่าการส่งออกไทยลดลง 5.6 - 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะหารือร่วมกับภาคเอกชนเพื่อวางแผนรับมือในเดือน พ.ค.นี้
ขณะที่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุว่า สงครามการค้าจะทำให้การส่งออกสินค้าวัตถุดิบไปจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง แต่มีโอกาสสำหรับการส่งสินค้าไปจีนในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ไก่ น้ำตาล
ด้าน รศ.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า สงครามการค้า จะทำให้การส่งออกของไทยมีผลกระทบในปีนี้ทันที ร้อยละ 1.8 สูญเสียมูลค่าส่งออก 75,270 ล้านบาท และยังมีความเสี่ยงจากการเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) เวียดนาม-ยุโรป ที่จะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ เมื่อรวมทั้งสองปัจจัยคาดว่าจะทำให้การส่งออกปีนี้เติบโตเพียงร้อยละ 0.5 -1 ต่ำสุดในรอบ 4 ปี หรือไม่ขยายตัว
ส่วน ผศ.ธนธวรรน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เห็นว่า สหรัฐฯ และจีนควรใช้เวทีประชุมจี 20 ที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ปลายเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อหาทางออกระหว่างกันและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่โฆษกองค์การการค้าโลก (WTO) ระบุว่า ปัญหาความตึงเครียดทางการค้าเกิดขึ้นหลายแห่ง ไม่ใช่เพียง 2 ประเทศ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นความท้าทายของดั WTO แต่ยืนยันว่าจะไม่แทรกแซง โดยจะทำหน้าที่เพียงแนะนำและเป็นเวทีเจรจาเท่านั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่ กระทบเศรษฐกิจโลก