วันนี้ (4 มี.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เรียกประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หารือเรื่องการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
นพ.ปิยะสกล เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กัญชายังคงเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ซึ่งประเทศไทยมีการควบคุมที่สอดคล้องกับอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษแห่งสหประชาชาติ ค.ศ.1961 ที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งยังคงควบคุมกัญชาอยู่ภายใต้อนุสัญญาและให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ภายใต้การควบคุมที่รัดกุมมิให้รั่วไหลไปใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้ การที่ตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 กำหนดบทเฉพาะกาล 5 ปี ให้การผลิตกัญชาทางการแพทย์ในประเทศเป็นภาครัฐดำเนินการ หรือหากเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ก็ต้องดำเนินการร่วมกับรัฐ เพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ได้เป็นไปเพื่อนายทุนหรือต่างชาติแต่อย่างใด

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษได้ให้ความเห็นชอบในการอนุญาตการศึกษาวิจัยและการครอบครองกัญชาให้กับหลายหน่วยงาน เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยรังสิต องค์การเภสัชกรรม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศูนย์ฝึกสุนัขตำรวจ การอนุญาตการปลูกและการใช้ประโยชน์กัญชา ต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปลูก และการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ให้รั่วไหลไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ได้มีหน้าที่ในการดำเนินการผลิตใดๆ กรณีผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่รวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชนขออนุญาตปลูกได้ โดยดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลของหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ทั้งนี้ หากดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐด้วย ในการขออนุญาตปลูกไม่จำเป็นต้องทำโครงการศึกษาวิจัยก่อนแต่อย่างใด ตามแนวทางปฏิบัติด้านการจัดเตรียมสถานที่ปลูกที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษได้ให้ความเห็นชอบไว้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการปลูกในโรงเรือนระบบปิดเท่านั้น สามารถปลูกได้ทั้งการปลูกแบบภายในตัวอาคารที่ควบคุมการปลูกด้วยระบบปิด และการปลูกแบบภายนอกตัวอาคาร ซึ่งสถานที่ปลูกเป็นแปลงปลูกกลางแจ้ง

อย่างไรก็ตาม ในการปลูกจำเป็นต้องมีการควบคุมให้กัญชาที่ได้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย สามารถนำไปผลิตยาที่มีคุณภาพ มีความบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษ โลหะหนัก เชื้อรา หรือสารปนเปื้อนที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยากัญชาดังกล่าว โดย อย.ได้เผยแพร่แนวทางการพิจารณาอนุญาตและแนวทางการปฏิบัติสำหรับการจัดเตรียมสถานที่สำหรับผู้ขออนุญาตปลูกไว้แล้วทางเว็บไซต์ http://www.fda.moph.go.th/sites/Narcotics/SitePages/MARIJUANA62.aspx
ส่วนกรณีที่เป็นข่าวว่ามีการอนุญาตองค์การเภสัชกรรมอย่างรวดเร็วนั้น ขอชี้แจงว่า องค์การเภสัชกรรมได้รับอนุญาตให้ทำการศึกษาวิจัยกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ตั้งแต่ปี 2561 สำหรับการปลูก องค์การเภสัชกรรมได้เตรียมการที่จะขออนุญาตมาระยะหนึ่งแล้ว มีการจัดทำโรงเรือนในระบบปิด และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบสถานที่ก่อนการยื่นคำขออนุญาต เมื่อ อย.ตรวจสอบคำขอสถานที่ และเอกสารหลักฐานต่างๆ แล้ว จึงได้เสนอคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเพื่อพิจารณาตามลำดับ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมปลูกภายใต้กฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ก่อนที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่จะมีผลใช้บังคับ จึงไม่ใช่กรณีของการอนุญาตอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปลูกแล้ว! กัญชาทางการแพทย์ แห่งแรกของอาเซียน ผลิตยาล็อตแรกเดือน ก.ค.
โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ยาเสพติด ใช้ "กัญชา-กระท่อม" ทางการแพทย์ได้