ภารกิจตั้งแต่เดินทางถึงปากถ้ำ วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ซึ่งการทำงานที่ต้องแข่งกับเวลาและสภาพอากาศ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์ภายในถ้ำ ทำให้การปฏิบัติงานต้องเร่งมือ ทำงาน ทันทีตั้งแต่เวลา 03.00 น. ของเช้าที่ผ่านมา (24 มิ.ย.)
การแบ่งงานของทีมหน่วยซีล เริ่มจากฟังข้อมูลและประเมินสถานการณ์ จากทีมกู้ภัยชุดแรกที่เข้าไปภายในถ้ำเพื่อประเมินสถานการณ์ ซึ่งพบปัญหาแสงสว่างที่แทบจะไม่มีภายในถ้ำ แม้จะติดตั้งระบบไฟฟ้าชั่วคราวจากภายนอกไว้แล้ว
อีกปัญหาที่เป็นอุปสรรค คือ ระดับน้ำที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นเส้นทางภายในถ้ำที่คดเคี้ยวและบางช่วงอาจต้องเจอระดับน้ำสูงกว่า 5 เมตร
ภารกิจของทีมหน่วยซีล แบ่งการทำงาน 4 ชุด ชุดละ 4 นาย พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และเครื่องมือทำลายสิ่งกีดขวางใต้น้ำสลับกันทำงาน
ระยะแรกทีมนักประดาน้ำ หน่วยซีล เดินทางจากปากถ้ำ ไปที่จุดที่เจอระดับน้ำสูงขวางไว้จุดแรก ห่างจากปากถ้ำ 3 กิโลเมตร ระยะเดินทางจุดนี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง การลงดำน้ำสำรวจครั้งแรกนักประดาน้ำลอดไปไม่ได้ เนื่องจากทางลอดใต้น้ำมีโคลนทรายอุดตันจึงต้องใช้ชะแลงกระทุ้งทรายที่ขวางทางไว้ การทำงานจุดนี้ใช้นักประดาน้ำสลับการทำงานทีมละไม่เกิน 1 ชั่วโมง ตามความจุอากาศในถังออกซิเจน
ผ่านไปกว่า 4 ชั่วโมง ทีมนักประดาน้ำผ่านดินโคลนในจุดแรกไปได้และข้ามไปได้ในอีกฝั่งหนึ่ง แต่ไม่พบเยาวชน นักฟุตบอลทั้ง 13 คน ทีมนักประดาน้ำจึงกลับออกมา พร้อมทั้งวางแผนใหม่ เพื่อเตรียมถังออกซิเจนและเสบียงอาหารพร้อมสำหรับทีมค้นหา และผู้ที่รอดชีวิต
จากนั้น ทีมนักประดาน้ำพบระดับน้ำสูงขวางอีกจุดหนึ่ง ในจุดนี้ มีระดับความสูง ถึงเกือบ 5 เมตร จากจุดที่ 2 ทีมนักประดาน้ำ ต้องดำน้ำลอดไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ในห้องโถงจุดนี้ มีระยะทางเดินเท้า ถึง 7 กิโลเมตร และมีทางตันทำให้ต้องวางแผนเพื่อต้องดำน้ำผ่านอีกจุด เพื่อไปยังห้องโถงอีกห้องที่คาดว่าอาจเป็นจุดที่มีผู้รอดชีวิต ทั้ง 13 คน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
สื่อต่างประเทศรายงานข่าวการช่วยเหลือ 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง
แข่งกับเวลา! เร่งติดตั้งเครื่องจักรสูบน้ำออกนอกถ้ำหลวง
ค้นหาทางเข้าใหม่ "ถ้ำหลวง" ช่วย 13 ชีวิต
ส่ง "ทีมหุ่นยนต์ดำน้ำ" สจพ.สำรวจถ้ำหลวงช่วย 13 ชีวิต
ฝนตกอุปสรรคช่วย 13 ชีวิต - เร่งสูบน้ำลดระดับน้ำในถ้ำ