เพียงอุปกรณ์ค้อน และสิ่ว ก็สามารถแกะสลักพระเกศาพระพุทธรูปจากหินทรายให้มีลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ไม่ต่างจากอดีต ที่ช่างแกะสลักหินจะชำนาญในการลงน้ำหนักให้เหมาะสมกับประเภทหินที่มีความอ่อนแข็งแตกต่าง อีกไม่กี่เดือน "กะ เซร็ง" จะจบหลักสูตรแกะสลักหิน 9 เดือนจากศูนย์ฝึกอาชีพ Artisan D'Angkor ที่เมืองเสียมราฐ และก้าวไปเป็นช่างฝีมือเต็มตัว
กะ เซร็ง เล่าให้ฟังว่าเธอไม่เคยสนใจงานแกะสลักหินมาก่อนเลย จนกระทั่งพ่อแม่พาไปเที่ยวนครวัด ได้เห็นงานแกะสลักหินงดงามก็สนใจ และในฐานะชาวกัมพูชา เธอควรรู้จักวิธีทำงานฝีมือเหล่านี้เพื่อสืบทอดภูมิปัญญาของประเทศ
ที่นี่ก็คล้ายกับศูนย์ฝึกอาชีพบ้านเรา แต่เไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาฝึกฝีมือที่นี่ก็ได้ เพราะต้องผ่านการทดสอบก่อน ปีนึงมีผู้สมัครเข้ามา 200-300 คนก็รับได้เพียง 75 คนเท่านั้น ก็แสดงว่านักเรียนที่นี่ต้องมีความสามารถจริงๆ
ผลงานทุกชิ้นของนักเรียนที่แกะสลักเสร็จ ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เพื่อยืนยันว่าลวดลายไม่ผิดเพี้ยนจากภาพแกะสลักหินของจริงในปราสาท ประติมากรรมจำลองเหล่านี้ เป็นของที่ระลึกที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ทั้งงานแกะสลักรูปนางอัปสรา เศียรพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระพุทธรูปและพระพิฆเนศ
"งานแกะสลักหินของชาวกัมพูชาเป็นงานที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากมีงานก่อสร้างแบบนี้อยู่ทั่วประเทศ งานศิลปะที่วิจิตรบรรจง แสดงถึงฝีมือช่างชั้นสูง มีพัฒนาการต่อเนื่อง การแกะสลักมาเป็นระยะๆ พันปีเศษก็สามารถที่จะสั่งสมและประดิษฐ์งานศิลปกรรมให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกได้" พงศ์ธันว์ สำเภาเงิน นักโบราณคดี กรมศิลปากร
Artisan D'Angkor ก่อตั้งเมื่อปี 1992 ผลิตช่างฝีมือมาแล้วกว่า 900 คน เริ่มต้นจากการเป็นโรงเรียนฝึกงานก่อสร้างให้กับเยาวชนชาวกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ก่อนขยายการเรียนการสอนสู่งานหัตถศิลป์ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวกัมพูชา เพื่อเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่ใกล้จะสูญหาย โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงศึกษาธิการของกัมพูชา รัฐบาลประเทศฝรั่งเศส และสหภาพยุโรป นอกจากงานแกะสลักหินแล้ว ยังมีห้องเรียนงานจิตรกรรม งานแกะสลักไม้ งานเครื่องเงิน โดยเฉพาะงานทอไหมซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดอ่อนและสวยงาม