ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สนค.ประเมิน 1 เดือน "ไทยกระทบแรง" มาตรการ "ทรัมป์" ป่วนโลก

เศรษฐกิจ
19 ก.พ. 68
13:56
297
Logo Thai PBS
สนค.ประเมิน 1 เดือน "ไทยกระทบแรง" มาตรการ "ทรัมป์" ป่วนโลก
อ่านให้ฟัง
07:57อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"สนค." เกาะติดนโยบาย "ทรัมป์" หลังฟันฉับ ถอนข้อตกลงปารีส ขึ้นภาษีสินค้าจีน-แคนาดา-เม็กซิโก มีผล 4 มี.ค.68 เพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียม 25% ชี้ไทยผลกระทบแรง แนะใช้มาตรภาษีตอบโต้ คาดใช้ เม.ย. นี้

วันนี้ ( 19 ก.พ.2568 ) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้า หลัง โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เดินหน้านโยบายมาตรการด้านการการค้าระหว่างประเทศ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และมาตรการจัดระเบียบผู้อพยพ ครบ 1 เดือนของการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์

จากการจับตาพบว่ามาตรการต่างๆของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและโลก ผ่านการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร หรือ Executive Order ฉบับสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และหันมาส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมัน การทำเหมือง และการพัฒนาก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ เพื่อช่วยลดราคาพลังงาน และบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

โดยเฉพาะการถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว เป็นที่จับตามองว่า อาจเป็นโอกาสให้จีนก้าวมาเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ และยานยนต์ไฟฟ้า

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า นโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 10% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากจีน มีผลใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้จีนตอบโต้มาตรการภาษีดังกล่าวด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรอีก 15% กับสินค้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ และอีก 10% กับสินค้าน้ำมันดิบ อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์นั่งและรถบรรทุก

รวมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (critical minerals) ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และการป้องกันประเทศซึ่งสร้างความปั่นปวนให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ สหรัฐฯยังประกาศการเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าทั่วไปจากแคนาดาและเม็กซิโก ยกเว้นสินค้ากลุ่มพลังงานของแคนาดาที่เก็บในอัตรา 10% ซึ่งแต่เดิมกำหนดให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 4 ก.พ.เช่นกัน ก่อนที่ทรัมป์จะเลื่อนวันบังคับใช้ออกไปเป็นวันที่ 4 มี.ค.68

โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย และการลักลอบนำเข้ายาเสพติด อย่างไรก็ตาม หากถึงเวลาที่คำสั่งมีผลใช้บังคับ แต่ทั้งสองประเทศไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ สหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการเก็บภาษีนำเข้าตามที่ได้ระบุไว้

ยังไม่การปรับขึ้นภาษีกับสินค้าเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม นำเข้าจากทุกประเทศ สู่อัตรา 25% มีผลใช้บังคับวันที่ 12 มี.ค.2568 อาศัยอำนาจตามมาตรา 232 ของ The Trade Expansion Act 1962 เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ ถือว่ามีผลกระทบต่อคู่ค้าหลายประเทศ

ผอ.สนค. กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวข้างต้น มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 16.8% ของมูลค่าส่งออกเหล็กฯ ไปยังสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม (รองจากจีน) ซึ่งในปีที่ผ่านมามีมูลค่าส่งออกสินค้าในรายการที่จะถูกใช้มาตรการทางภาษีประมาณเกือบ 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 72.8% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ

ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่าไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ เพราะสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปยังประเทศข้างเคียงในทวีปอเมริกา ซึ่งมีตลาดส่งออกสินค้าดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ที่ตลาดสหรัฐฯ เกินกว่า 50% ของมูลค่าส่งออกสินค้า

อย่างไรก็ตาม ในส่วนไทยเองยังต้องติดตามมาตรการอื่น ๆอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเตรียมใช้ภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) คาดว่าอาจนำมาใช้ในช่วงเดือนเม.ย. 2568 หลังจากที่หน่วยงานต่าง ๆ จะส่งผลการทบทวนและการตรวจสอบการดำเนินนโยบายการค้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการเตรียมผลักดันเสนอร่างกฎหมายการค้าต่างตอบแทนต่อสภาคองเกรสในอนาคต

โฆษกกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ ของสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามข้อสั่งการประธานาธิบดีภายใต้นโยบาย AMERICA FIRST TRADE POLICYที่สั่งการให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนนโยบายเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกของสหรัฐฯ และให้รายงานผล ตลอดจนข้อเสนอแนะ และการดำเนินการที่เหมาะสมไปยังประธานาธิบดีภายในเดือนเม.ย. 2568

ข้อสั่งการ มี 4 ข้อ คือ ทบทวนและตรวจสอบการค้าของประเทศคู่ค้าทั่วโลก ทบทวนความตกลงทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน และ ตรวจสอบประเด็นที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามการศึกษาและติดตามนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความสำคัญโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และติดตามนโยบายที่ส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้โอกาสจากมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ

อ่านข่าว:

“ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก

"ต้นไม้" หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทางเลือก (สีเขียว)สินเชื่อ คนร้อนเงิน

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนระอุ กกร.หวั่นสินค้าจีนแย่งตลาดไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง