"DeepSeek" Startup สัญชาติจีน เปิดตัว "DeepSeek-R1" เพียงไม่กี่วันบน Apple Store และ Google Play ทำให้บรรดาหุ้น NASDAQ ในสหรัฐอเมริกา ติดแดง ร่วงระนาว อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน โดยเฉพาะ Nvidia ร่วงไปกว่า 17 จุด มูลค่าเสียหายกว่า 6,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าว: หายวับ! 6 แสนล้าน มูลค่าตลาด Nvidia เทียบเท่า GDP ไทยทั้งประเทศ
โมเดล AI อัจฉริยะของ DeepSeek ที่เคลมว่าทรงประสิทธิภาพมากกว่า ChatGPT และ Gemini ทั้งๆ ที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์ และระบบประมวลผลที่ถูกกว่าอย่างน้อย 2-7 เท่า ใช้งบประมาณในการฝึกระบบ AI เพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้อยกว่าบรรดายักษ์ใหญ่ในตลาด AI หลายเท่าตัว
ถึงแม้ว่า DeepSeek ยังมีปัญหาในด้านการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามที่เรียบเรียงภาษาแปลก ๆ การตอบเป็นภาษาจีนทั้งกระบิ แทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษ หรือกระทั่ง การเลี่ยงคำตอบที่เกี่ยวข้องหรือสุ่มเสี่ยงจะกระทบความมั่นคงของ "ประเทศจีน" หรือ "สี จิ้นผิง" ทำให้หลายฝ่ายคลายความกังวลว่า AI นี้จะเข้ามาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะถือว่ายังห่างชั้นอีกไกล
อ่านข่าว: จากเด็กเนิร์ดสู่เจ้าพ่อ AI "เหลียง เหวินเฟิง" ผู้ก่อตั้ง DeepSeek
เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่สามารถที่จะตัด DeepSeek ออกไปจากการแข่งขันในวงการทะเลเดือดนี้ได้ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหลาย ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันเพื่อ "ถูกและดี" ตัดราคากันในตลาด แต่ยังมีเงื่อนไขเรื่อง "Disruptive Technology" และ "การแสวงหาสถานภาพ (Status-seeking)" เป็นแรงขับเคลื่อนอย่างแรงกล้าของจีนอีกด้วย
"Disruptive Technology" เรื่องปกติของ "การแข่งขัน"
จริง ๆ แล้ว การเกิดขึ้นของ DeepSeek และสั่นสะท้านไปทั้งวงการ AI ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะในโลกของเทคโนโลยีนั้น เต็มไปด้วย "การแข่งขัน" ตลอดเวลา และการจะก้าวขึ้นมาเป็น "เจ้าตลาด" ได้นั้น ต้องสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้เกิด "Disruptive" ของเดิมที่ดำรงอยู่ก่อนหน้านั้น
ตัวอย่างมีให้เห็นตั้งแต่ยุคโบราณ การเกิดขึ้นของ "ล้อ (Wheel)" โดยชนเผ่าอูร์ ในดินแดน "เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)" ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน "สงคราม" เคลื่อนกำลังพลรวดเร็ว รบพุ่งผนวกดินแดนได้ไกลขึ้น รวมไปถึง "การค้า" ที่บรรจุสินค้าไปขายได้มากขึ้นและไกลขึ้น ระบบ "แบกหามสะเหรี่ยง" จึงหมดไป เหลือไว้เป็นเพียง "สัญลักษณ์ของระบบศักดินา"
หรือในวงการเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของ "พิมพ์ดีด (Typewriter)" ทำให้ "ระบบเรียงพิมพ์ " ที่ใช้งานมาตั้งแต่การคิดค้นของ "โยฮัน กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg)" สิ้นสภาพไป ก่อนที่ "คอมพิวเตอร์ (Computer)" จะทำให้พิมพ์ดีดสิ้นสภาพไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 1980 และก็ได้รับการ Disrupt โดย "แท็บเลท (Tablet)" อีกครั้งในช่วงปี 2010
หรือในด้าน "ซอฟท์แวร์" ที่เกิด Disrupt เช่น การมาถึงของ "Google" ระบบ Search Engine ที่ล้ำสมัยและค้นหาได้อย่างรวดเร็ว ได้ทำให้ "Yahoo" ที่เป็นเจ้าตลาดเดิมถึงกับต้องปิดกิจการ แพล็ตฟอร์ม Social Media แบบเดิม คือ "Hi5" ก็มีอันต้องสูญสิ้นไปเพราะการมาถึงของ "Facebook" หรือกระทั่ง การมาถึงของ "TikTok" ได้ทำให้ "YouTube" ถึงกับต้องปรับปรุง การออกแบบ UX/UI ให้มี Shorts คลิปขนาดสั้นแนวตั้งตามแบบฉบับของแอพดำสัญชาติจีน เลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น การเกิด Disruptive Technology ยังส่งผลให้ "พฤติกรรมการใช้ชีวิต" ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย เช่น สมัยก่อน ผู้มีความชำนาญทางคอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็น "ความสามารถพิเศษ" แต่เมื่อเทคโนโลยีเริ่มตั้งมั่น ความเชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ กลับกลายเป็น "Minimum Requirement" หรือ "ทักษะพื้นฐานที่ต้องชำนาญ" แทน
หรือในประเด็นระดับการระหว่างประเทศ (International Affairs) การมาของ Disruptive Technology สามารถ "เปลี่ยนสถานภาพ (Status Shift)" ของประเทศใดประเทศหนึ่งได้เลยทีเดียว ดังคำอธิบายของ โรเบิร์ต กิลพิน (Robert Gilpin) ใน หนังสือ The Political Economy of International Relations ความว่า หากประเทศใดต้องการเป็นมหาอำนาจ ต้องครอบครององค์ความรู้และความทันสมัยของเทคโนโลยีแบบเบ็ดเสร็จ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ "ญี่ปุ่น" ที่สามารถพลิกฟื้นประเทศ จากผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง สู่ผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมหนักและเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยพลังของการพัฒนาเทคโนโลยี โดยเฉพาะ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย โทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ เครื่องเล่นเกม หรือกระทั่ง ชิปประมวลผลขนาดเล็ก ทำให้สามารถตีตลาดสหรัฐอเมริกาให้ "ขาดดุล" รวมถึงครอบครองส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกได้มากกว่าร้อยละ 30 ในช่วงปี 1960-1970
เรียกได้ว่า นอกจากจะได้กำไรมหาศาล ยังได้รับ สถานภาพ (Status) เป็นหนึ่งใน มหาอำนาจ (Great Power) ของโลกเลยทีเดียว
เทคโนโลยี AI เพื่อ "แสวงหาสถานภาพ" ในการเมืองโลก
จากกรณีศึกษาญี่ปุ่น ชี้ว่า การพัฒนาเทคโนโลยี ไม่เพียงแต่ทำเพื่อการแสวงหาผลกำไรสูงสุด โดยใช้ต้นทุนให้น้อยที่สุด ตามหลักการวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ยังสามารถทำเพื่อการแสวงหาสถานภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่ขัดกับ การเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Rational Choice) อย่างถึงที่สุด
เนื่องจาก การลงทุนทางด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) เทคโนโลยี การสรรหาเครื่องมือผลิตที่ทรงประสิทธิภาพ การพัฒนาทุนทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ และทักษะฝีมือของแรงงานด้านเทคโนโลยี ล้วนมีค่าใช้จ่ายมหาศาล และไม่สามารถที่จะคืนทุนภายใน 10-20 ปีได้ ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีมี "Cost Overrun" หรือ ค่าใช้จ่ายที่คุมไม่ได้ งบประมาณบานปลาย ให้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า
อันนา นาดิเบียดเซ (Anna Nadibaidze) เสนอไว้ในบทความวิจัย Technology in the quest for status: the Russian leadership’s artificial intelligence narrative ความว่า การที่รัฐบาลเลือกจะสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้ง ๆ ที่สิ้นเปลือง เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างที่มากกว่ากำไร เพราะ "ในระยะสั้น" ประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยีจะได้รับสถานภาพและการยอมรับจากนานาประเทศ ในฐานะ "ประเทศแห่งไซเบอร์" ที่มีความล้ำสมัย และเป็นผู้นำทางความคิด ส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ อยากเอาเยี่ยงอย่าง แม้รายละเอียดจะขาดทุนยับก็ตาม
โดยประเด็นทางเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากสากลโลกมากที่สุด คือ "AI" ไม่ว่ารัฐไหน ๆ ก็ซูฮกทั้งนั้น แม้ว่ายังอยู่ในขั้นพัฒนาก็ตาม ยกตัวอย่างง่าย ๆ การที่ DeepSeek เกิดขึ้นมา แม้ว่ารัฐจะไม่ได้ร่วมพัฒนาก็ตาม แต่เครดิตที่ได้ คือ เป็นบริษัท "สัญชาติจีน" ที่คิดค้น AI เข้ามาต่อกรกับ สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจโลก ถึงขนาดทำให้หุ้นเทคโนโลยีในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ร่วงระนาวได้ เท่ากับว่า เป็นการสร้างโอกาสในการด้อยค่า "ผู้กุมระเบียบโลก" (World Order) ได้ประมาณหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องใช้ยุทธภัณฑ์ หรือการเจรจาทางการทูตเสียด้วยซ้ำ
หลายสำนักข่าว เทียบเคียงการพัฒนา AI สัญชาติจีนว่าเป็น "Sputnik Moment" หมายถึง เหตุการณ์ที่สหรัฐฯ รู้สึก Panic อย่างมาก ที่สหภาพโซเวียตสามารถส่งยานอวกาศ Sputnik1 ขึ้นไปสำรวจนอกโลกได้สำเร็จก่อนตนเองที่พัฒนาอวกาศยานมาก่อนหน้านั้นอย่างยาวนาน ซึ่งจริง ๆ การเทียบเคียงดังกล่าว ไม่ตรงเสียทีเดียว
หนังสือ Eisenhower's Sputnik Moment: The Race for Space and World Prestige เขียนโดย ยาเนค ไมค์ซคอฟสกี้ (Yanek Mieczkowski) เสนอว่า ความกังวลของประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) ไม่ได้มาจากการกลัวว่าสหรัฐฯ จะเสียดุลแห่งอำนาจไปให้โซเวียตเนื่องจากไปอวกาศช้ากว่า แต่ "อารมณ์เสีย" เพราะ โซเวียตนั้น "ทั้งจนและล้าหลัง" แต่กลับชิงไปนอกโลกก่อนสหรัฐฯ ผู้ที่ "ทั้งรวยและฉลาด" ได้อย่างไร?
ไอ้ที่หมุนติ้วรอบโลกของโซเวียตนะหรือ ไม่เกี่ยวอะไรกับความมั่นคงทางทหารของเรา (สหรัฐฯ) เสียหน่อย เป็นเรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ อย่าเอามาโยงกัน
แต่ในกรณีของ DeepSeek ประเทศจีนมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรุดหน้า บางอย่างสหรัฐฯ แทบจะเทียบไม่ติด โดยเฉพาะ การพัฒนา Autopilot หรือ Semiconductor ที่ถึงขนาดมหาอำนาจโลกผู้นี้ยังต้องยอม "ขาดดุล" เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีและสายพานการผลิตเลยทีเดียว
ดังนั้น Sputnik Moment ต้องใช้อธิบาย "จีน" เสียมากกว่า ที่เร่งพัฒนา AI ขึ้นมาให้ทัดเทียม "ChatGPT" "Copilot" หรือ "Gemini" เพราะตนเองนั้นมีความเทพด้าน "ฮาร์ดแวร์" อยู่ก่อนหน้า อย่างบริษัท Semiconductor Manufacturing International Corporation หรือ SMIC ที่ครองส่วนแบ่งตลาดชิปกว่าร้อยละ 5 ของโลก แต่เรื่อง "ซอฟท์แวร์" นั้นเป็นรอง เหตุใด จึงไม่ทำทั้งสองอย่างให้เทพไปพร้อมกัน แม้จะเป็นการ "ออกจาก Comfort Zone" ที่เป็นอยู่ และผลลัพธ์ที่ออกมา คือ AI ที่สั่นสะท้าน "เจ้าตลาด" อย่างถึงพริกถึงขิง
ที่มา: Visual Capitalist
หากมองย้อนกลับไป สหรัฐฯ ไม่เคยนับจีนอยู่ในสมการแข่งขันด้านนวัตกรรม AI อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนเริ่มพัฒนาทุนทรัพยากรมนุษย์ในด้านเทคโนโลยี AI ผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยกำหนดให้นักเรียนในระดับมัธยมเริ่มศึกษา AI ผ่านแบบเรียนพื้นฐาน
ที่มา: https://analyticsindiamag.com/ai-news-updates/china-publishes-first-ai-textbook-to-educate-high-school-students/
ที่สำคัญ DeepSeek ยังเข้าตำรา "ถูกและดี" อีกด้วย จาก Infographic ของ Statista ระบุว่า Input/Output Tokens หรือ ระบบรับ-ส่งข้อมูลใน AI ที่แปลงออกมาเป็นศัพท์ ของ DeepSeek ในระดับเดียวกัน (1M Tokens) ใช้ "ต้นทุน" น้อยกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ เกือบ 2-10 เท่า ทั้งที่ยังเป็นเพียงเวอร์ชั่นแรกเท่านั้น
ที่มา: Statista
เรียกได้ว่า DeepSeek คือผลพลอยได้ที่ทำให้รัฐบาลจีนสามารถแสวงหาสถานภาพในตลาดเทคโนโลยี AI ของโลกแบบ ต้นทุนต่ำ ก็ว่าได้
แม้จะเป็น Start Up แต่ DeepSeek มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล สี จิ้นผิง อย่างแน่นอน สามารถอ่านสัญญะ (Implication) ได้จาก การที่ AI ให้คำตอบโดยพยายามเลี่ยงบาลี ความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับฝ่ายบริหารประเทศ ซึ่งเป็นไปตามบัญญัติ Basic security requirements for generative artificial intelligence service ที่ออกโดยทางการจีน ไม่เช่นนั้น กลุ่มธุรกิจประเภทนี้ จะไม่สามารถ "ได้รับทุนและระดมทุน" ภายในประเทศได้ ซึ่งเป็นผลเสียมากกว่า ในแง่การขาด "ตลาดในประเทศ" ไปหลักพันล้านคน
แม้ทางการจีนจะอยากได้สถานภาพจาก AI มากเพียงไร แต่ก็ไม่ได้เปิดกว้างมากพอให้หวนกลับมา "ทำลายการปกครองของตนเอง" หมายความว่า "อัตลักษณ์ (Identity)" ของตนเองยังอยู่ครบถ้วน แต่การยอมรับ (Recognition) ในสากลโลกได้รับอัตราที่เพิ่มมากขึ้น สังเกตจาก ไม่ว่าสำนักข่าวใด ๆ ทั่วทุกมุมโลก ต่างเล่นประเด็นนี้ ทั้งที่จริง ไม่จำเป็นต้อง "ให้แสง" DeepSeek มากมายขนาดนี้ ลงข่าวเทคโนโลยีธรรมดา ๆ ย่อมได้
DeepSeek "Open Source" พลิก "ระบบผูกขาด" AI โลก
อีกหนึ่ง "ข้อได้เปรียบ (Advantage)" ที่สำคัญของ DeepSeek นอกเหนือจากถูกและดี ยังมีประเด็น "Open Source" หรือ การเปิดให้นักพัฒนาและวิศวกร AI จากทั่วทุกมุมโลก "ร่วมพัฒนา" AI ได้อย่างเสรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโปรแกรมได้มากยิ่งขึ้น
DeepSeek-R1 ใช้ระบบ "Mixture-of-expert" หรือ "MOE" หมายถึง เปิดให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญร่วมพัฒนาให้เห็น "ระบบหลังบ้าน (Back-end)" เพื่อให้ชี้ข้อบกพร่อง สิ่งที่ควรแก้ไข และบั๊คต่าง ๆ ของ DeepSeek โดยไม่ได้ "ผูกขาด" ไว้เพียงแต่เจ้าของเท่านั้น
ข้อดีของการเปิดหมดเปลือกนี้ ทำให้ DeepSeek ได้รับ "Input" อย่างมหาศาล นำมาถมข้อด้อยเรื่อง "การประมวลผล" จากการจำกัดงบประมาณ ทำให้ประหยัดกว่าการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาแบบเจ้าอื่น ๆ ในตลาด เป็นที่สุด
แต่อย่าลืมว่า ในโลกธุรกิจ "ความลับ" สำคัญที่สุด การเปิดหมดเปลือกให้เห็นระบบการทำงานทั้งหมดของ DeepSeek ทำให้คิดถึงปัญหา "องค์ความรู้ไหลออก" เพราะการลงแรงโดยผู้พัฒนา ไม่มีใครทำให้ฟรี ๆ แบบการกุศล ดังนั้น ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ "Misuse" หรือ การใส่ข้อมูลหรือฝึกฝน AI แบบผิด ๆ การสร้างอาการหลอน (Hallucination) ให้แก่ AI
หรือแม้แต่ "การเซ็นเซอร์ (Censorship)" ข้อมูลที่ควรจะมีหรือควรจะให้ AI เรียนรู้ แต่กลับ "หมกเม็ด" เอาไว้ เช่น เรื่องราว "เชิงลึก" เกี่ยวกับจีน เป็นต้น
ข้อควรระวัง "Made In China" มักมาพร้อม "การสอดส่อง"
เห็นได้ว่า DeepSeek เป็นมากกว่า AI-generated เพราะเกี่ยวพันกับการแสวงหาสถานภาพของประเทศจีน เพื่อทำให้เกิดการยอมรับด้านเทคโนโลยี นอกเหนือจากยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตฮาร์ดแวร์ หรือเป็นเพียง "นายหน้า" รับจ้างผลิตเฉย ๆ โดยที่รัฐบาลจะทำการ "ช้อน" บริษัท AI ที่ทำแล้วดี ทำแล้วเหมาะสม เพื่อสนับสนุนทุนและยกย่องเชิดชูประหนึ่งทำด้วยตนเอง
เรื่องสถานภาพก็ส่วนหนึ่ง แต่ปัญหาหลัก ๆ จากประวัติศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีจีน คือ รัฐบาลมักจะแอบแฝง "การสอดส่องตรวจตรา (Surveillance)" ผู้ใช้งานด้วยเสมอ
บทความวิจัย Exporting the Tools of Dictatorship: The Politics of China’s Technology Transfers เขียนโดย เอริน คาร์เตอร์ และ เบรต คาร์เตอร์ (Erin Baggott Carter and Brett L. Carter) เสนอว่า การตีตลาดต่างประเทศของ Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ไม่เพียงกแต่ด้านเทคโนโลยี แต่เป็นด้านการสอดส่องตรวจตราของรัฐบาลจีนด้วย เพื่อสังเกต "พฤติกรรมผู้บริโภค" สินค้า Huawei ว่ามีความ "กระด้างกระเดื่อง" ต่อจีนมากน้อยเพียงไร เพื่อเก็บเป็นเครดิต หากผู้ใช้เดินทางมายังจีน จะได้รับการต้อนรับขับสู้ "เป็นพิเศษ"
กระนั้น การสอดส่องตรวจตรานี้มีผลเฉพาะ "ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" เสียส่วนใหญ่ เพราะรัฐบาลขาดมาตรการควบคุมและป้องกันสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นำเข้า ว่าจะส่งผลต่อสวัสดิภาพ "ความเป็นส่วนตัว" ของประชาชนมากน้อยเพียงไร กลับกัน "ประเทศประชาธิปไตย" Huawei ไม่สามารถดูดข้อมูลส่งกลับฝ่ายบริหารของมาตุภูมิได้
แต่มีข้อยกเว้น คือ "อินโดนีเซีย" ที่เป็นประชาธิปไตย แต่ Huawei ดูดข้อมูลผู้ใช้ส่งกลับจีนได้ระดับมหาศาล เนื่องจาก ดินแดนอิเหนา "แบนไอโฟน" และผู้คนนิยมชมชอบใน Huawei เป็นอย่างมาก มากกว่า Samsung หรือแบรนด์อื่น ๆ สำหรับบทความวิจัยนี้ หากตัดอินโดนีเซียออกไปจากสมการ จะพบคำอธิบายว่า "ยิ่งไม่เป็นประชาธิปไตยมากเท่าไร ยิ่งเสร็จ Huawei และ รัฐบาลจีน มากเท่านั้น"
ที่มา: Exporting the Tools of Dictatorship: The Politics of China’s Technology Transfers
DeepSeek ที่มีแนวโน้มจะ "ถือหาง" รัฐบาลจีน ผู้ใช้ยิ่งต้องตระหนักให้มาก ๆ ก่อนจะใช้งานหรืออวยกันไม่ลืมหูลืมตา เพราะไม่แน่ว่า สถานภาพที่รัฐบาลจีนได้รับไปมากมาย อาจมี "ราคาที่ต้องจ่าย" เป็นข้อมูลส่วนบุคคลระดับมหาศาลของประชากรทั้งโลกก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
- หนังสือ The Political Economy of International Relations
- หนังสือ Eisenhower's Sputnik Moment: The Race for Space and World Prestige
- บทความวิจัย Technology in the quest for status: the Russian leadership’s artificial intelligence narrative
- บทความวิจัย Exporting the Tools of Dictatorship: The Politics of China’s Technology Transfers
- https://www.aljazeera.com/economy/2025/1/28/why-chinas-ai-startup-deepseek-is-sending-shockwaves-through-global-tech
- https://www.theguardian.com/technology/2025/jan/28/we-tried-out-deepseek-it-works-well-until-we-asked-it-about-tiananmen-square-and-taiwan