วันนี้ (15 ม.ค.2568) ผู้เสียหายที่กู้เงินผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ อายุ 37 ปี เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ต.ค.2567 ได้มีโฆษณาที่เด้งเข้ามายังเครื่องโทรศัพท์มือถือ เลยตัดสินใจคลิกสมัครกู้เงินผ่านระบบออนไลน์ โดยต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคล และถ่ายรูปเซลฟีพร้อมข้อมูลบัตรประชาชน
เมื่อสมัครผ่านแล้ว แอปฯ นี้กระจายการให้บริการ ไปอีกนับสิบบริษัท เพื่อปล่อยกู้วงเงินครั้งละ 10,000 บาท และความต้องการขณะนั้น ทำให้ตัดสินใจสมัคร เพื่อหวังเงินมาใช้หนี้ ประมาณ 50,000 บาท จากหนี้ผ่อนรถ และ รักษาพยาบาลบุพการีที่เจ็บป่วย แต่สุดท้ายเงินสดออนไลน์ทำให้เป็นหนี้บานปลายถึง 750,000 บาท
ต่อมาช่วงเดือน ธ.ค.2567 ก็มีการเริ่มติดตามทวงหนี้ เป็นรายวันจากระบบ และ ตัวแทนผ่านทั้งการแชตไลน์ทวง ผ่านระบบ SMS และ มีการทวงโดยตรงผ่านการโทรศัพท์
และหนักข้อถึงขั้นทางผู้ดูแลแอปพลิเคชัน ไปนำภาพจากเฟซบุ๊ก ส่งกลับมาให้พร้อมข้อความเชิงข่มขู่ คุกคามไปถึงครอบครัว โดยบรรดาแอดมินของระบบ สลับสับเปลี่ยนกันทวงหนี้ ในหลายชื่อ และ หลายเลขบัญชี ซึ่งไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน
แม้ว่าจะพยายามผ่อนชำระเป็นรายวัน แต่สถานการณ์ที่ถูกบีบคั้น ติดตามทวงหนี้ และ ไม่มีเงิน จ่ายคืนได้เต็มที่ ทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบ เคยตัดสินใจที่จะลาจากโลกใบนี้
แต่สุดท้ายแล้ว จึงตั้งใจกลับมาเผชิญหน้าและรับผิดชอบกับสถานการณ์ที่ก่อไว้ และทำให้ได้รับความเมตตาจากผู้มีพระคุณ ทยอยผ่อนจ่ายเงิน กว่า 750,000 บาท คืนระบบแอปพลิเคชันจนครบถ้วนในเดือน ม.ค.2568
ทั้งนี้แม้จะคืนหนี้จนครบ และลบแอปพลิเคชันทิ้งแล้ว แต่ยังมีลิ้งค์ ผ่านระบบ SMS แจ้งเข้ามาเพื่อเชิญชวนให้กู้แบบเดิมอีกแทบทุกวัน
ซึ่งผู้เสียหายยอมรับว่าเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต ที่เกิดจากความผิดพลาดของตัวเอง ทั้งนี้ผู้เสียหายยังสะท้อนถึงข้อจำกัด ของกลุ่มอาชีพหรือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่แทบไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของรัฐ ที่มักผูกโยงกับเงื่อนไขต่างๆ จนทำให้เกิดช่องว่าง ผลักออกนอกระบบ และหันไปพึ่งพาระบบเงินสดออนไลน์จนเจอบทเรียนราคาแพง
อ่านข่าว :
"จิราพร" ขีดเส้นพรุ่งนี้ "OPPO-Realme" ให้คำตอบถอนแอปฯกู้เงิน