ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“อลงกรณ์” ชี้จัดงบขาดดุล ไทยเสี่ยงเผชิญวิกฤต หนี้สาธารณะพุ่ง

การเมือง
26 พ.ค. 68
18:22
226
Logo Thai PBS
“อลงกรณ์” ชี้จัดงบขาดดุล ไทยเสี่ยงเผชิญวิกฤต หนี้สาธารณะพุ่ง
อ่านให้ฟัง
08:42อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

หลังครม.มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท จำนวนนี้ มีค่าดำเนินการภาครัฐวงเงิน 669,365.4866 ล้านบาท เพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยมิได้คาดหมาย สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การชำระหนี้ภาครัฐ และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง โดยจะเสนอสภาพิจารณาระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ก่อนจะประกาศใช้ในเดือนต.ค. 2568 

หากจำแนกตามกลุ่มงบประมาณ แบ่งรายจ่ายออกเป็น 7 ประเภท คือ งบกลาง 632,968.7500 ล้านบาท หรือประมาณ 16.74 เปอร์เซ็นต์ ,รายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1,408, 060. 3287 ล้านบาท ประมาณ 37.25 เปอร์เซ็นต์ , รายจ่ายบูรณาการ 98,767.8186 ล้านบาท ประมาณ 2.61เปอร์เซ็นต์ ,

รายจ่ายบุคลากร 820,820.8104 ล้านบาท หรือ 21.71 เปอร์เซ็นต์ ,รายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 274,576.8057 ล้านบาท หรือ 7.26 เปอร์เซ็นต์ รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 421,864.4264 ล้านบาท หรือ 11.16 เปอร์เซ็นต์ และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541.0602 ล้านบาท หรือ 3.27 เปอร์เซ็นต์

และจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ คือ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ ปี 69 จำนวน (ล้านบาท) เป็นงบด้านความมั่นคง 415,327.9413 ล้านบาท , ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 394,611.6456 ล้านบาท ,

งบด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927.2575 ล้านบาท , การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942, 709. 1735 ล้านบาท , การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216.8998 ล้านบาท และการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 605,441.5957

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ในฐานะะอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีสภาผู้แทนฯ กล่าวว่า ไทยใช้งบประมาณแบบขาดดุล มาตั้งแต่ปี 2550 จึงทำให้เกิดปัญหาขาดดุลต่อเนื่อง และหนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้น โดยร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ขาดดุลถึง 865,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับขาดดุลสูงสุดในรอบ 19 ปี

จึงมีผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งจาก 40% ในช่วงวิกฤตโควิด- 19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และคาดว่า จะแตะเพดาน 70% ภายใน 2 ปี

หากเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 3.5% และอาจทำให้เกิดภาระปัญหาดอก เบี้ยสาธารณะ ซึ่งอาจเกิน 10% ของรายได้สุทธิภายใน 2 ปี ซึ่งในงบปี 2569 พบว่า รายจ่ายชำระหนี้เป็นการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น

“ร่างพ.ร.บ. ปี 2569 มีการจัดงบประมาณแบบขาดดุลอีกปีหนึ่ง แต่ปีนี้วงเงินขาดดุลงบประมาณสูงเป็นประวัติการณ์ ไทยอาจเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะและสูญเสียศักยภาพการเติบโตในระยะยาวเพราะต้องกู้เงินมาปิดหีบงบประมาณต่อเนื่อง จึงต้องเร่งแก้ปัญหา”

นายอลงกรณ์ ระบุว่า สาเหตุสำคัญของการขาดดุลงบประมาณเรื้อรัง เนื่องจากโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ งบประจำสูงเกินไป งบลงทุนน้อยเกินไป ในขณะที่หนี้สาธารณะเพิ่มเร็วเกินไป

งบรายจ่ายประจำสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในส่วนเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการมีสัดส่วนถึง 23 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณปี 2568 ส่วนงบลงทุนเหลือเพียง 24.2 เปอร์เซ็นต์ และลดลงเหลือ 22.7 % ในงบปี 2569

ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินชดเชยขาดดุลเพิ่ม ปี 2569 รายจ่ายบุคลากร 820,820.8104 ล้านบาท หรือ 21.71 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่หนี้สาธารณะได้เพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP ในช่วงโควิด-19 เป็น 66.93% ในปี 2568 และใกล้แตะเพดาน 70% ในปี 2569 (เกือบ14ล้านล้านบาท)

อดีตกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีสภาผู้แทนฯ ยังระบุอีกว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และโครงการประชานิยมของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการช็อปช่วยชาติและบัตรคนจน แม้จะทำให้เกิดการกระตุ้น การบริโภคชั่วคราว แต่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาฐานการผลิต อีกทั้งการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรส่งผลให้เกิดหนี้เรื้อรังในภาคเกษตรกรรม และขาดความยั่งยืน

นอกจากนี้ ระบบภาษีไม่มีประสิทธิภาพ ฐานภาษีแคบ ภาษีเงินได้บุคคลธรรม ดาจัดเก็บได้เพียง 16 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP เนื่องจากแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนไม่เข้าสู่ระบบ มีการหลีกเลี่ยงภาษีโดยธุรกิจขนาดใหญ่ใช้ช่องโหว่กฎหมายลดหย่อนภาษี ขณะที่ SMEs ถูกเก็บภาษีเต็มอัตรา

นายอลงกรณ์ ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และโครงการจัดซื้อจัดจ้างประมูลงานของรัฐทำให้ต้นทุนโครงการสูงเกินจริง ต้องกู้เงินเพิ่ม การจัดสรรงบประมาณแบบเลือกปฏิบัติเน้นโครงการที่สร้างผลตอบแทนทางการเมืองแทนความจำเป็นทางเศรษฐกิจ

มีการวิจารณ์ว่า การรั่วไหลของงบประมาณ 40% ถูกจัดสรรไปยังกลุ่มผลประโยชน์ แทนที่จะใช้พัฒนาประเทศ รวมทั้งสงครามการค้าและกำแพงภาษีสหรัฐจะเป็นปัญหาในระยาว ทำให้เพิ่มภาระหนี้กับประเทศ

ยังไม่รวมถึงปัญหาสังคมสูงวัยจะทำให้ค่าใช้จ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุคาดพุ่งเป็น 35% ของงบประมาณภายในปี 2583 หรือไม่เกินอีก 14 ปี ข้างหน้า ซึ่งรัฐบาลจะต้องออกแบบระบบสวัสดิการแบบยั่งยืน เช่น สร้างอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพลดภาระการให้เงินอุดหนุน

อย่างไรก็ตาม อดีตกรรมาธิการงบประมาณ ฯได้เสนอทางออกในการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ ต้องลดราย จ่ายภาครัฐ ปฏิรูปและลดขนาดภาครัฐ หรือยกเลิกหรือควบรวมหน่วยงานรัฐพาณิชย์ที่ขาดทุนไร้ประสิทธิภาพและเพิ่มรายได้งบประมาณ เช่น การปฏิรูประบบภาษีและขยายฐานภาษีเพิ่มภาษีทรัพย์สินภาษีมรดกและภาษีลาภลอยพร้อมกับป้องกันการรั่วไหลและการทุจริตภาษีอย่างเด็ดขาด

รวมทั้ง เพิ่มรายได้ภาครัฐทุกประเภทและเพิ่มรายได้จากการส่งออก และปฏิรูประบบงบประมาณ โดยใช้ระบบงบประมาณฐานศูนย์( Zero-Based Budgeting) เริ่มจัดสรรงบประมาณจากศูนย์ทุกปี และตัดโครงการไม่จำเป็นออกไปก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง 

อ่านข่าว

“สนธิ-จตุพร” สลัดสีเสื้อ-ขั้วตรงข้าม เปิดฉากรบ “เพื่อไทย-ทักษิณ”

ใช้คืนหมื่นล้าน มุมอับพท. จุดชี้ตาย “แพทองธาร” ใช้งบผิดประเภท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง