รัฐบาลเยอรมนี ไฟเขียวจัดส่งรถถัง Leopard 2 หนึ่งในรถถังที่ดีที่สุดในโลกให้กับยูเครน จำนวน 14 คัน เพื่อช่วยสู้ศึก หลังถูกรัสเซียบุกโจมตีต่อเนื่องจนเวลาล่วงเลยเกือบ 1 ปี ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่า "รัสเซียจะรุกคืบ" ในขณะที่สงครามเข้าสู่เฟสใหม่อาจเปิดฉากบุกโจมตีรอบใหญ่อีกครั้งหลังฤดูหนาว 

สำหรับความเห็นชาวเยอรมัน ต่อการส่งรถถังยูเครน มีผู้สนับสนุน 46% ไม่สนับสนุน 43% และไม่ตัดสินใจ 11% ยูเครนตั้งความหวังว่า Leopard 2 อาวุธทรงพลังที่เยอรมนีจะจัดส่งนั้น จะช่วยพลิกเกมในสมรภูมิรบ ให้ "ยูเครน" ได้เปรียบ เพราะแม้จะมีน้ำหนักมากถึง 62 ตัน แต่ก็สามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว และมีความคล่องตัวสูง สามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ แม้ขณะเคลื่อนที่อยู่บนภูมิประเทศที่ไม่ใช่พื้นเรียบ และถูกมองว่าเป็นยุทโธปกรณ์ที่เหมาะกับยูเครนที่สุดในเวลานี้ เนื่องจาก รถถัง Challenger 2 ของอังกฤษ ต้องใช้กระสุนเฉพาะ ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดแคลนกระสุน และเหมาะว่า M1 Abrams ของสหรัฐฯ ที่มีปัญหาเรื่องความซับซ้อนของกลไก ทำให้ยากต่อการใช้งานและซ่อมบำรุง โดยมีความสูง 3.0 เมตร กว้าง 3.7 เมตร ยาว 7.7 เมตร น้ำหนัก 62 ตัน

• อาวุธหลัก ได้แก่ ปืนใหญ่ Rheinmetall 1 กระบอก ขนาด 120 มม. ยิงได้ 42 นัด
• อาวุธรอง ได้แก่ ปืนกลหนัก MG3A1 2 กระบอก ขนาด 7.62 มม. ยิงได้ 4,750 นัด เครื่องปล่อยระเบิดควัน 16 ลูก ความเร็วสูงสุด 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง พิสัยปฏิบัติการ ถนนทั่วไป 340 กิโลเมตร ทางวิบาก 220 กิโลเมตร
• ประเทศที่มีประจำการอยู่ ได้แก่ กรีซ 353 คัน สเปน 327 คัน เยอรมนี 323 คัน ตุรกี 316 คัน โปแลนด์ 247 คัน สวีเดน 242 คัน ฟินแลนด์ 200 คัน สวิตเซอร์แลนด์ 134 คัน แคนาดา 82 คัน ออสเตรีย 56 คัน นอร์เวย์ 52 คัน เดนมาร์ก 44 คัน โปรตุเกส 37 คัน เนเธอร์แลนด์ 18 คัน ฮังการี 12 คัน สโลวาเกีย 1 และ สาธารณรัฐเช็ก 1

ทั้งนี้ Leopard 2 เป็นรถถังหลักของกองทัพเยอรมนี ผลิตมาให้กับกองทัพเยอรมนีตะวันตก เป็นรุ่นเสริมต่อมาจาก Leopard 1 ได้รับการพัฒนาโดย เคราส์-มัฟไฟ (Krauss-Maffei) ในช่วงปี 1970 และได้นำไปใช้ในกองทัพในปี 1978 จนถึงปัจจุบัน โดย Leopard 2 มี 7 รุ่นย่อยออกไปอีก รุ่นที่โด่งดังและถูกกล่าวถึงอย่าง Leopard 2A4 ซึ่งเป็นรุ่นที่มีพัฒนาเกราะและป้อมปืน ยังมี Leopard 2A5 ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดารุ่นทั้งหมด และในปัจจุบัน Leopard 2A7 ถือว่าเป็นรุ่นใหม่สุดของ Leopard 2

นอกจากนี้ Leopard 2 ได้พัฒนาระบบการยิงด้วยระบบดิจิทัลและตัวเล็งด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน พร้อมระบบการขับในตอนกลางคืน รวมถึงมีความสามารถในการยิงวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ได้แม่นยำกว่ารุ่นก่อน

รู้หรือไม่ ? บาดแผลทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลให้ "เยอรมนี" พยายามหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็นกองทัพที่ "แข็งกร้าว" นานหลายทศวรรษ จากความรู้สึกผิดนี้จึงหลีกเลี่ยงการส่งออกอาวุธไปยังพื้นที่ที่มีความขัดแย้งต่าง ๆ