การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เปิดฉากขึ้นนับตั้งแต่ 16 ต.ค. 65 แน่นอนว่า ย่อมเป็นที่จับจ้องไม่เพียงแต่ระดับ "ผู้นำโลก" เท่านั้น โดยหนึ่งในประเด็นที่คนให้ความสนใจ คือ การสืบทอดอำนาจของ "สี จิ้นผิง" ในการดำรงตำแหน่ง "ผู้นำจีน สมัยที่ 3"
Thai PBS Insight พาย้อนไปดูกันว่า ตั้งแต่ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" กุมอำนาจ ปี 1949 จนถึงปัจจุบัน มี "ผู้นำคนสำคัญ" เป็นใครบ้าง ?
บุคคลอันเป็นที่เคารพและยกย่องทั้งในแง่ความเป็น "ผู้นำ" และ "อุดมการณ์" ซึ่งได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังตกอยู่ในวังวนสงครามกลางเมืองมากกว่า 20 ปี ซึ่งเขานั้นเป็นที่จดจำอย่างมากกับการเปิดตัวนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า "Great Leap Forward" ในช่วงทศวรรษ 1950 รวมถึงการ "ปฏิวัติวัฒนธรรม" (Cultural Revolution) ในช่วงทศวรรษ 1960
อีกหนึ่ง "ผู้นำ" ที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกับชื่อเสียงเรียงนามเป็นอย่างดี โดยหนึ่งในนโยบายที่ถูกพูดถึง คือ การริเริ่มและความก้าวหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ขยายกว้างมากขึ้นของจีนตลอดช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งหากจะให้นึกถึงวาทะเด็ดของเขา คงหนีไม่พ้น “แมวจะสีขาวหรือสีดำไม่สำคัญ, แค่จับหนูได้ก็พอ” นอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็น "ผู้นำ" ที่มีอำนาจมากที่สุดในปี 1989 ถึงแม้ในห้วงเวลานั้น...กองทัพจะเปิดฉากนองเลือดกับผู้ประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมินก็ตาม
นอกจากบทบาทการนำทางจีนให้เข้าสู่บทบาทการเป็น "สมาชิก" ขององค์การการค้าโลก (WTO) แล้ว เขาคนนี้ยังเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การรับมอบ "ฮ่องกง" กลับคืนสู่จีน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับ "ปักกิ่ง" ในการรับเป็นเจ้าภาพ "โอลิมปิก เกมส์ 2008" อีกด้วย
โดย "เจียง" ได้นำแนวคิดของ "เติ้ง" มาสานต่อเพื่อ "เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ" แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนับสนุนฝ่ายขวาที่เห็นด้วยกับการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง
ผู้คงไว้ซึ่งระบบการเมืองที่เด็ดเดี่ยวและไม่ประนีประนอม โดยประวัติศาสตร์อันน่าจดจำภายในช่วงระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนั้น หนึ่งเลยก็คือ การไล่แซง "ญี่ปุ่น" ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่สามารถส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ
รวมถึงการทำหน้าที่ "เจ้าภาพ" ในการจัดมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ "โอลิมปิก เกมส์ 2008" ซึ่งนักกีฬาจีนก็สามารถคว้าเหรียญทองมาได้มากที่สุดอีกด้วย
หากเอ่ยถึงนโยบายสำคัญที่มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันของ "สี จิ้นผิง" หลังเถลิงอำนาจ คงหนีไม่พ้น "การผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชัน" รวมถึงการชูนโยบายเส้นทางการค้า "สายไหมยุคใหม่" ขณะเดียวกัน ก็มีการกำกับและกวดขันการควบคุมสื่อ รวมถึงการถูกวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาว่ามีการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ เขาถูกมองว่าเป็น "ผู้มีอิทธิพลสูงสุด" ที่มากด้วยอำนาจบารมีและสร้างอิทธิพลทางความคิดให้เติบโตในระดับโลก
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เปิดฉากขึ้นนับตั้งแต่ 16 ต.ค. 65 แน่นอนว่า ย่อมเป็นที่จับจ้องไม่เพียงแต่ระดับ "ผู้นำโลก" เท่านั้น โดยหนึ่งในประเด็นที่คนให้ความสนใจ คือ การสืบทอดอำนาจของ "สี จิ้นผิง" ในการดำรงตำแหน่ง "ผู้นำจีน สมัยที่ 3"
Thai PBS Insight พาย้อนไปดูกันว่า ตั้งแต่ "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" กุมอำนาจ ปี 1949 จนถึงปัจจุบัน มี "ผู้นำคนสำคัญ" เป็นใครบ้าง ?
บุคคลอันเป็นที่เคารพและยกย่องทั้งในแง่ความเป็น "ผู้นำ" และ "อุดมการณ์" ซึ่งได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังตกอยู่ในวังวนสงครามกลางเมืองมากกว่า 20 ปี ซึ่งเขานั้นเป็นที่จดจำอย่างมากกับการเปิดตัวนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า "Great Leap Forward" ในช่วงทศวรรษ 1950 รวมถึงการ "ปฏิวัติวัฒนธรรม" (Cultural Revolution) ในช่วงทศวรรษ 1960
อีกหนึ่ง "ผู้นำ" ที่คนไทยรู้จักมักคุ้นกับชื่อเสียงเรียงนามเป็นอย่างดี โดยหนึ่งในนโยบายที่ถูกพูดถึง คือ การริเริ่มและความก้าวหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ขยายกว้างมากขึ้นของจีนตลอดช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งหากจะให้นึกถึงวาทะเด็ดของเขา คงหนีไม่พ้น “แมวจะสีขาวหรือสีดำไม่สำคัญ, แค่จับหนูได้ก็พอ” นอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็น "ผู้นำ" ที่มีอำนาจมากที่สุดในปี 1989 ถึงแม้ในห้วงเวลานั้น...กองทัพจะเปิดฉากนองเลือดกับผู้ประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมินก็ตาม
นอกจากบทบาทการนำทางจีนให้เข้าสู่บทบาทการเป็น "สมาชิก" ขององค์การการค้าโลก (WTO) แล้ว เขาคนนี้ยังเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การรับมอบ "ฮ่องกง" กลับคืนสู่จีน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับ "ปักกิ่ง" ในการรับเป็นเจ้าภาพ "โอลิมปิก เกมส์ 2008" อีกด้วย
โดย "เจียง" ได้นำแนวคิดของ "เติ้ง" มาสานต่อเพื่อ "เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ" แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนับสนุนฝ่ายขวาที่เห็นด้วยกับการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง
ผู้คงไว้ซึ่งระบบการเมืองที่เด็ดเดี่ยวและไม่ประนีประนอม โดยประวัติศาสตร์อันน่าจดจำภายในช่วงระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนั้น หนึ่งเลยก็คือ การไล่แซง "ญี่ปุ่น" ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่สามารถส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ
รวมถึงการทำหน้าที่ "เจ้าภาพ" ในการจัดมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ "โอลิมปิก เกมส์ 2008" ซึ่งนักกีฬาจีนก็สามารถคว้าเหรียญทองมาได้มากที่สุดอีกด้วย
หากเอ่ยถึงนโยบายสำคัญที่มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันของ "สี จิ้นผิง" หลังเถลิงอำนาจ คงหนีไม่พ้น "การผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชัน" รวมถึงการชูนโยบายเส้นทางการค้า "สายไหมยุคใหม่" ขณะเดียวกัน ก็มีการกำกับและกวดขันการควบคุมสื่อ รวมถึงการถูกวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาว่ามีการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ เวลานี้ เขาถูกมองว่าเป็น "ผู้มีอิทธิพลสูงสุด" ที่มากด้วยอำนาจบารมีและสร้างอิทธิพลทางความคิดให้เติบโตในระดับโลก