โหวตนายกฯ ลุ้น "พิธา" ฝ่าด้าน 376

โหวตนายกฯ ลุ้น "พิธา" ฝ่าด้าน 376

14 ก.ค. 66

จับตาโหวต “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกฯ คนที่ 30 ปมประเด็นที่เป็นด่านหินอยู่ตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้ 376 เสียง ซึ่งอยู่ที่ว่าจะมี ส.ว. โหวตให้ว่าที่นายกคนใหม่ จำนวนเท่าใด 

ตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 60 (มาตรา 272) บัญญัติให้ การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมตรีให้กระทำในที่ประชมร่วมกันของรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว. ประชุมร่วมกัน) และต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา หรือ 376 เสียงโดยปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี

กล่าวคือ การเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตัวแทนสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งประกอบไปด้วย ส.ส. 500 คนที่มาจาก ส.ส.เขต 400 เสียง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 เสียง และ ส.ว.อีก 250 เสียง จะเป็นผู้ลงคะแนนให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ ตามรายชื่อแคนดิเดตของแต่ละพรรคการเมืองที่เสนอชื่อเข้ามา

ขั้นตอนการเลือก นายกรัฐมนตรี คนที่ 30

1. ส.ส. เสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี จากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของพรรคที่มีจำนวน ส.ส. ตั้งแต่ 25 คนขึ้นไป

กรณีนี้หากดูจากผลการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคต่าง ๆ ที่ยังมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีมีทั้งหมด 8 คน จาก 5 พรรคการเมือง คือ

พรรคก้าวไกล 1 คน
พรรคเพื่อไทย 3 คน
พรรคภูมิใจไทย 1 คน
พรรคพลังประชารัฐ 1 คน
พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน

2. การเสนอชื่อต้องมี ส.ส.รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ โดยสามารถเสนอชื่อให้เลือกได้มากกว่า 1 คน

3. การเลือกนายกรัฐมนตรีให้กระทำเป็นการเปิดเผย โดยเลขาธิการจะเรียกชื่อสมาชิก ส.ส. และ ส.ว. ตามลำดับอักษรเป็นรายบุคคล และให้ออกเสียงโดยการกล่าวชื่อบุคคลที่เห็นชอบ

4. ส.ส. 500 เสียง ส.ว.250 เสียง รวมกัน 750 เสียง ผู้ที่ได้คะแนน 376 เสียงขึ้นไป จะได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

5. หากลงคะแนนแล้วไม่มีใครได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งก็จะวนโหวตต่อไปจนกว่าจะมีผู้ได้คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

จากข้อมูลข้างต้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ กรณีพรรคก้าวไกลในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น ในการแถลงข่าวจับมือกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ สามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง

หมายความว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. อีกอย่างน้อย 63 เสียง จึงจะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ 

ต้องจับตาดูว่า ในการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีรอบนี้จะมีใครเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นแข่งกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ซึ่งหากมีการเสนอชื่อเข้าแข่งขันทั้ง ส.ส. และส.ว.ก็มีสิทธิที่จะโหวตให้กับใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ ใครที่ได้คะแนน 376 ก่อน คือ ผู้ชนะ

ที่น่าสนใจในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น ระหว่างการเลือกนายกฯ คนใหม่หากยังไม่ได้และไม่มีกรอบเวลากำหนดไว้ซึ่งอาจกินเวลาเป็น สัปดาห์ เป็นเดือน หลายเดือน ผู้ที่จะยังคงทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไป ก็คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เช็คเสียงก่อนโหวต

• ขั้ว 8 พรรคร่วม  มีอยู่ 312 เสียง

พรรคก้าวไกล 151
พรรคเพื่อไทย 141
พรรคประชาชาติ 9
พรรคไทยสร้างไทย 6
พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2
พรรคเป็นธรรม 1
พรรคเสรีรวมไทย 1
พรรคพลังสังคมใหม่ 1

ใน 312 เสียง อาจต้องตัด ประธานสภาที่อาจจะต้องงดออกเสียง เพื่อแสดงความเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่
หากประธานรัฐสภา "งด" จะทำให้ เสียงรัฐบาลลดเหลือ 311 เสียง ก็จะต้องไปหาเสียงเพิ่มอีกจาก ส.ว. เดิม 64 ก็ต้องได้ 65 เสียง

• ขั้วรัฐบาลเดิม 188 เสียง
พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง
พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
พรรคประชาธิปัตย์ 25เสียง
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง
พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคใหม่ พรรคท้องที่ไทย และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคละ 1 เสียง
ซึ่งประกาศไม่โหวตให้ "พิธา" เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งในรูปแบบการโหวตไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ 90 % ที่ว่า ส.ว. จะงดออกเสียง
10 คน หรือ 5 % ประมาณ 10 คน โหวตเห็นชอบ
10 คน หรือ 5 % ประมาณ 10 คน โหวตไม่เห็นชอบ
ส่วน ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง ไม่มา "ลาประชุม" ซึ่งกลุ่มนี้ แนวโน้มน่าจะงดออกเสียงอยู่แล้ว

โหวตนายกฯ ลุ้น "พิธา" ฝ่าด้าน 376

14 ก.ค. 66

จับตาโหวต “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกฯ คนที่ 30 ปมประเด็นที่เป็นด่านหินอยู่ตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ได้ 376 เสียง ซึ่งอยู่ที่ว่าจะมี ส.ว. โหวตให้ว่าที่นายกคนใหม่ จำนวนเท่าใด 

ตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 60 (มาตรา 272) บัญญัติให้ การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมตรีให้กระทำในที่ประชมร่วมกันของรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว. ประชุมร่วมกัน) และต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา หรือ 376 เสียงโดยปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ ส.ว.มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี

กล่าวคือ การเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตัวแทนสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งประกอบไปด้วย ส.ส. 500 คนที่มาจาก ส.ส.เขต 400 เสียง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 เสียง และ ส.ว.อีก 250 เสียง จะเป็นผู้ลงคะแนนให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ ตามรายชื่อแคนดิเดตของแต่ละพรรคการเมืองที่เสนอชื่อเข้ามา

ขั้นตอนการเลือก นายกรัฐมนตรี คนที่ 30

1. ส.ส. เสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี จากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของพรรคที่มีจำนวน ส.ส. ตั้งแต่ 25 คนขึ้นไป

กรณีนี้หากดูจากผลการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมาแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคต่าง ๆ ที่ยังมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีมีทั้งหมด 8 คน จาก 5 พรรคการเมือง คือ

พรรคก้าวไกล 1 คน
พรรคเพื่อไทย 3 คน
พรรคภูมิใจไทย 1 คน
พรรคพลังประชารัฐ 1 คน
พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน

2. การเสนอชื่อต้องมี ส.ส.รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ โดยสามารถเสนอชื่อให้เลือกได้มากกว่า 1 คน

3. การเลือกนายกรัฐมนตรีให้กระทำเป็นการเปิดเผย โดยเลขาธิการจะเรียกชื่อสมาชิก ส.ส. และ ส.ว. ตามลำดับอักษรเป็นรายบุคคล และให้ออกเสียงโดยการกล่าวชื่อบุคคลที่เห็นชอบ

4. ส.ส. 500 เสียง ส.ว.250 เสียง รวมกัน 750 เสียง ผู้ที่ได้คะแนน 376 เสียงขึ้นไป จะได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

5. หากลงคะแนนแล้วไม่มีใครได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งก็จะวนโหวตต่อไปจนกว่าจะมีผู้ได้คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

จากข้อมูลข้างต้นมีประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ กรณีพรรคก้าวไกลในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนั้น ในการแถลงข่าวจับมือกับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ สามารถรวมเสียงได้ 312 เสียง

หมายความว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. อีกอย่างน้อย 63 เสียง จึงจะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ 

ต้องจับตาดูว่า ในการคัดเลือกนายกรัฐมนตรีรอบนี้จะมีใครเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นแข่งกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ ซึ่งหากมีการเสนอชื่อเข้าแข่งขันทั้ง ส.ส. และส.ว.ก็มีสิทธิที่จะโหวตให้กับใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ ใครที่ได้คะแนน 376 ก่อน คือ ผู้ชนะ

ที่น่าสนใจในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น ระหว่างการเลือกนายกฯ คนใหม่หากยังไม่ได้และไม่มีกรอบเวลากำหนดไว้ซึ่งอาจกินเวลาเป็น สัปดาห์ เป็นเดือน หลายเดือน ผู้ที่จะยังคงทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไป ก็คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เช็คเสียงก่อนโหวต

• ขั้ว 8 พรรคร่วม  มีอยู่ 312 เสียง

พรรคก้าวไกล 151
พรรคเพื่อไทย 141
พรรคประชาชาติ 9
พรรคไทยสร้างไทย 6
พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2
พรรคเป็นธรรม 1
พรรคเสรีรวมไทย 1
พรรคพลังสังคมใหม่ 1

ใน 312 เสียง อาจต้องตัด ประธานสภาที่อาจจะต้องงดออกเสียง เพื่อแสดงความเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่
หากประธานรัฐสภา "งด" จะทำให้ เสียงรัฐบาลลดเหลือ 311 เสียง ก็จะต้องไปหาเสียงเพิ่มอีกจาก ส.ว. เดิม 64 ก็ต้องได้ 65 เสียง

• ขั้วรัฐบาลเดิม 188 เสียง
พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง
พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
พรรคประชาธิปัตย์ 25เสียง
พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง
พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคใหม่ พรรคท้องที่ไทย และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคละ 1 เสียง
ซึ่งประกาศไม่โหวตให้ "พิธา" เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งในรูปแบบการโหวตไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ 90 % ที่ว่า ส.ว. จะงดออกเสียง
10 คน หรือ 5 % ประมาณ 10 คน โหวตเห็นชอบ
10 คน หรือ 5 % ประมาณ 10 คน โหวตไม่เห็นชอบ
ส่วน ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง ไม่มา "ลาประชุม" ซึ่งกลุ่มนี้ แนวโน้มน่าจะงดออกเสียงอยู่แล้ว