วันนี้ ( 1 เม.ย.2568) ศูนย์วิจัยกรุงศรีอยุธยา วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยกระดับสงครามการค้าผ่านการปรับขึ้นภาษีสินค้า โดยขึ้นภาษีรถยนต์ 25% และเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อทุกประเทศทั่วโลก หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯเสี่ยงชะลอตัวแรงกว่าคาด การยกระดับความรุนแรงของสงครามการค้าเพิ่มความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจสูงกว่าคาดผ่านต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้นและการจ้างงานที่ลดลง

สะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงกว่า 3% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) รวมถึงเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้วันที่ 3 เม.ย.นี้
การขึ้นภาษีของทรัมป์นำไปสู่การใช้มาตรการตอบโต้ของกลุ่มประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในอนาคตได้
โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในช่วงสิ้นปี นับตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้

ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้ว่าจะฟื้นตัวแต่เป็นการฟื้นตัวช้ากว่าคาดจากเงินเฟ้อที่ยังสูง รวมถึงสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ในเดือนมี.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นหดตัวลงสู่ระดับ 48.3 ขณะที่ ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นพลิกกลับมาหดตัวที่ 49.5
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.8% สู่ระดับ 2.9% YoY ในเดือนมี.ค. เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในกรุงโตเกียว (Tokyo core CPI) เพิ่มขึ้นจาก 2.2% สู่ระดับ 2.4%

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงรวมถึงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นหลัง ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ โดยมาตรการดังกล่าวคาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญเพราะญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์มากถึง 28.3% ของการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่นไปยังสหรัฐในปี 2567
ขณะที่ญี่ปุ่นเผยว่า เตรียมพิจารณาเจรจารับมือและยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจจะใช้มาตรการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ แม้แรงกดดันเงินเฟ้อยังคงสูงแต่การฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจโดยรวมคาดส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ในขณะที่พี่ใหญ่ของอาเซียนอย่างจีน ยังมีเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังเปราะบาง โดยปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น กำไรภาคอุตสาหกรรมในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์หดตัว -0.3% จาก +11% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับยอดค้าปลีกสินค้าซึ่งขยายตัวเพียง 4% ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและดัชนียอดค้าปลีกยังยังแตกต่างกันค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับระดับในช่วงก่อนโควิดระหว่างปี 2557-2562
เศรษฐกิจจีนยังเผชิญแรงกดดันจากการผลิตส่วนเกินในหลายอุตสาหกรรม ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ล่าสุดสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์จากทุกประเทศในอัตรา 25% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 3 เม.ย.นี้ ซึ่งกระทบกับการส่งออกรถยนต์ของจีนอย่างหลีกไม่ได้

ศูนย์วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ผลกระทบส่วนเพิ่มจากการขึ้นภาษียานยนต์ต่อจีนยังจำกัด โดยคาดว่าการส่งออกจะลดลงจากกรณีฐาน 0.32% อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น
อยางไรก็ตาม มาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาคท่องเที่ยว นับเป็นปัจจัยความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในอนาคต สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานเศรษฐกิจไทยในเดือนก.พ. ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ 14%

ส่วนภาคท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยชะลอลงเหลือ 3.12 ล้านคน(-6.9% ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางชะลอตัวจากการลดลงของการบริโภคในหมวดสินคงทนเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนที่ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อน สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวแรงขึ้นเป็น -3.9% ในเดือนก.พ.
แนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งกระทบต่อการเติบโตของภาคส่งออกที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี

การที่สหรัฐฯประกาศจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้น 25%มีผล 3 เม.ย.แม้ไทยอาจได้รับผลกระทบทางตรงในวงจำกัด เพราะไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ เพียง 1.6% ของการส่งออกรถยนต์ทั้งหมดของไทย แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยลดลงจากกรณีฐานฯ -0.05%
ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ มองว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้าบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อย่างจริงจังกับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับตนเอง ไทยนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับมาตรการภาษีดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกและภาคการผลิตของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้

ทั้งนี้ อัตราภาษีเฉลี่ยของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 5-6% และเมื่อรวมกับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งอยู่ที่ 7% อาจส่งผลให้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าจากไทยสูงถึง 13% อาจกลายเป็นอัตราภาษีที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องเตรียมกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ แม้แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของไทย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคท่องเที่ยวอาจเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น สำหรับ สถานการณ์ภาคท่องเที่ยวล่าสุด จากข้อมูลในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-23 มี.ค. มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 8.89 ล้านคน (+2.9% ) สร้างรายได้ 434,662 ล้านบาท
โดยนักท่องเที่ยวจีน (1,259,391 คน) มาเลเซีย (1,057,438) รัสเซีย (667,905) อินเดีย (498,341) และเกาหลีใต้ (475,124) ด้านท่องเที่ยวในประเทศ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 16.48 ล้านคน-ครั้ง (+4.1% ) สร้างรายได้ 8.8 พันล้านบาท (+6.6%) การประคองการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวให้มีความต่อเนื่องหลังจากการฟื้นตัวช้าของนักท่องเที่ยวจีน

ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ในช่วงโลว์ซีซั่น (หลังเทศกาลสงกรานต์) เบื้องต้นกำหนดไว้ 1 ล้านสิทธิ์ รายละไม่เกิน 3,000 บาท โดยรัฐช่วยจ่าย 40% สำหรับเที่ยวเมืองหลัก และ 50% สำหรับเมืองรอง (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) รวมถึงอาจพิจารณาต่อมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน แต่อาจลดจำนวนวันลงจาก 90 วันเหลือ 30 วัน (ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ 10-15 วัน)
ขณะที่เหตุการณ์ภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงยังคงต้องรอติดตามการประเมินความเสียหายรวมถึงอาจมีผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศได้ เบื้องต้นสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) และสมาคมโรงแรมไทย (THA) ชี้ว่าผลกระทบในระยะสั้นจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจากความกังวลเรื่องปลอดภัยโดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะลดลง 10-15% หรืออาจจะมากกว่านี้ในช่วง 2 สัปดาห์จากนี้ไป
อ่านข่าว:
ศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินแผ่นดินไหว "เศรษฐกิจ" เสียหาย 2 หมื่นล้าน
สศอ.เผย ศก.โลกผันผวน-หนี้ครัวเรือนพุ่ง ฉุดดัชนีMPI ก.พ. ร่วง 3.91%
หอการค้าไทย จี้เร่งทำระบบเตือนภัย "แผ่นดินไหว"ไม่กระทบธุรกิจ