วันนี้ (20 มี.ค.2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผย ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เดือน ก.พ.2568 จำนวน 6,291 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับภาระหนี้สินของประชาชน พบว่า สถานการณ์หนี้สินของประชาชนดีขึ้นเล็กน้อย จากผลสำรวจปี 2566 และมีการลดลงของภาระหนี้นอกระบบ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
โดยกลุ่มอาชีพพนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน ยังเป็นกลุ่มอาชีพหลักที่มีสัดส่วนกลุ่มที่มีภาระหนี้มากที่สุด และผู้ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนความต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด
สำหรับภาพรวมภาระหนี้สินของประชาชน พบว่าร้อยละ 50.99 มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ ลดลงจากปี 2566 พบว่า พนักงานของรัฐ เกษตรกร และพนักงานเอกชน เป็นกลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากที่สุดร้อยละ 68.18 ร้อยละ 57.16 และ ร้อยละ 53.15 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการสำรวจของปี 2566

ขณะที่กลุ่มนักศึกษาและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนการมีภาระหนี้น้อยที่สุด ร้อยละ 20.51 และ ร้อยละ 26.74 ตามลำดับ การจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้สินมากที่สุดร้อยละ 81.25 รองลงมาคือ กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001-100,000 บาทร้อยละ 76.15
และกลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 62.96 ทั้งนี้ จากผลสำรวจมีข้อสังเกตว่ารายได้มีลักษณะแปรผันตรงกับสัดส่วนการมีภาระหนี้ หรือกล่าวคือกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น

สาเหตุของการเกิดหนี้ พบว่า การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ ยานพาหนะเป็นสาเหตุการเกิดภาระหนี้มากที่สุดร้อยละ 27.47 รองลงมาคือ การเกิดภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 25.56 และการเกิดภาระหนี้เพื่อการลงทุนร้อยละ 11.94
สาเหตุที่ประชาชนก่อให้เกิดภาระหนี้มากที่สุด สะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน
ผอ.สนค. กล่าวอีกว่า สำหรับประเภทของหนี้สิน พบว่า เป็นหนี้ในระบบมากที่สุด ร้อยละ 79.89 รองลงมาเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ร้อยละ 13.53 และสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบร้อยละ 6.58 ลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 2566 (ร้อยละ 7.19)

เมื่อพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า พนักงานของรัฐเป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากที่สุดที่ร้อยละ 90.37 รองลงมาคือ เจ้าของกิจการ และนักศึกษา ขณะที่เกษตรกรถือเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 22.20 และอาชีพรับจ้างอิสระเป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบมากที่สุด ที่ร้อยละ 15.59
เกิดจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน ซึ่งกลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด
สำหรับรูปแบบหนี้สิน พบว่า การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมากที่สุดร้อยละ 28.90 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน ตามมาด้วยหนี้บัตรเครดิต ร้อยละ 24.45 และหนี้จากการกู้ยืมสหกรณ์ ร้อยละ 15.63
ขณะที่พนักงานเอกชนและกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 40,001-50,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้จากบัตรเครดิตมากที่สุด และพนักงานของรัฐและผู้ไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุมีสัดส่วนหนี้สินจากการกู้สหกรณ์มากที่สุด

ส่วนการชำระหนี้รายเดือน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีหนี้ในระบบที่ต้องชำระ ไม่เกิน 10,000 บาท มากที่สุด ที่ร้อยละ 56.79 รองลงมาคือ ชำระหนี้ 10,001-30,000 บาท ที่ร้อยละ 28.58 และชำระหนี้ 30,001-50,000 บาท ที่ร้อยละ 4.70
และในส่วนการชำระหนี้นอกระบบ มีผลการสำรวจสอดคล้องกัน กล่าวคือ ผู้ที่มีหนี้สินนอกระบบ มีการชำระหนี้รายเดือนไม่เกิน 10,000 มากที่สุด ที่ร้อยละ 23.69 รองลงมาคือ การชำระหนี้นอกระบบ 10,001-30,000 บาท และ 30,001-50,000 บาท ตามลำดับ
ทั้งนี้พฤติกรรมการปรับตัวจากผลกระทบของหนี้สินในภาพรวม พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามปรับตัวจากผลกระทบของหนี้ โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากที่สุด ร้อยละ 27.83 รองลงมา คือ การหารายได้เพิ่มร้อยละ 22.23 และการไม่ก่อหนี้สินเพิ่มเติม ร้อยละ 18.47 และด้านความช่วยเหลือที่ต้องการจากภาครัฐ ในภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระหนี้มีความต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการและนโยบายเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนโดยการลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดร้อยละ 46.57

และรองลงมาคือ การพักหรือขยายเวลาการชำระหนี้ร้อยละ 33.21 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้ตอบแบบสอบถามในทุกกลุ่มอาชีพ อายุ และภูมิภาค ขณะที่ความต้องการลำดับถัดมา คือ การสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ร้อยละ 15.21 โดยกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีมีสัดส่วนความต้องการให้มีการสร้างและส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มากที่สุดร้อยละ 45.45 และ ร้อยละ 31.17 ตามลำดับ
แม้สถานการณ์หนี้สินของประชาชนจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของประชาชน
โดยเห็นว่า ภาครัฐต้องติดตามและดูแลปัญหาภาระหนี้สินของประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป
ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 2 ต่อปี จะช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพต่อเนื่อง ทั้งดูแลราคาสินค้า จัดลดราคาช่วงเทศกาล จัดงานธงฟ้าราคาประหยัด
อ่านข่าว:
ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ช่วยประคองภาคอสังหาริมทรัพย์
ซื้อหนี้ประชาชน "กับดักความจน" คนไทย "สารพัดหนี้" รุมเร้า
แจกหนัก-พักหนี้ สูตรแก้จน "เพื่อไทย" หรือระเบิดเวลาประเทศ ?