วันนี้ (28 ม.ค.2568) สำนักข่าว CNN รายงาน ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความฮือฮาด้วยการเสนอให้ "เก็บกวาด" ฉนวนกาซาโดยการย้ายประชากรชาวปาเลสไตน์กว่า 1,500,000 คน ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างอียิปต์และจอร์แดน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One ว่าการย้ายประชากรนี้อาจเป็นการย้ายถิ่นฐาน "ชั่วคราว" หรือ "ระยะยาว" แต่ทั้ง 2 ประเทศที่ถูกเสนอให้รับชาวปาเลสไตน์ ได้ปฏิเสธแนวคิดนี้อย่างแข็งกร้าว
ข้อเสนอนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐฯ หากเทียบกับรัฐบาลโจ ไบเดน ซึ่งยืนยันว่าฉนวนกาซาควรเป็นส่วนหนึ่งของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต และการย้ายประชากรออกจากพื้นที่นี้ ขัดกับแนวทางการแก้ปัญหาแบบ 2 รัฐ (Two-State Solution) ที่เป็นจุดยืนของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
แนวคิดดังกล่าวยังสอดคล้องกับนักการเมืองฝ่ายขวาจัดในอิสราเอล เช่น เบซาเลล สมอตริช รมว.คลังของอิสราเอล ซึ่งเคยกล่าวว่า "ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชาวปาเลสไตน์" รวมถึง อิตามาร์ เบน กวีร์ อดีต รมว.ความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเคยถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสนับสนุนการก่อการร้ายและปลุกระดมความเกลียดชังต่อชาวอาหรับ
ขณะที่ นักการเมืองปาเลสไตน์ได้ประณามข้อเสนอดังกล่าว ว่าเป็นแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกาซา ในสหรัฐฯ แม้แต่เซนเตอร์ ลินด์ซีย์ เกรแฮม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันในสภาคองเกรส ก็สัมภาษณ์กับ CNN ว่าเขาไม่เชื่อว่าแนวคิดนี้จะเป็นไปได้มากนัก "ผมไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไร" เกรแฮมกล่าวถึงทรัมป์
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า นอกจากข้อกังวลทางศีลธรรมและกฎหมายแล้ว การหลั่งไหลของผู้ลี้ภัยไปยังประเทศอาหรับเพื่อนบ้านอาจทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่มั่นคงและเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของพวกเขา การยอมรับข้อเสนอของทรัมป์ จะทำให้เกิดความโกรธแค้นจากประชาชนอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถรับได้สำหรับรัฐบาลเหล่านั้น
"การลี้ภัยครั้งที่ 2" บทเรียนจากอดีต
คำพูดของทิโมธี คาลดัส รองผู้อำนวยการจาก Tahrir Institute และ ฮาซัน อัลฮาซัน นักวิจัยจาก International Institute for Strategic Studies ระบุถึงความเสี่ยงที่อียิปต์และจอร์แดนจะเผชิญหากยอมรับการย้ายชาวปาเลสไตน์จากกาซาไปยังประเทศของตน ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่พอใจและความไม่มั่นคงในประเทศเหล่านี้อย่างรุนแรง ทั้ง 2 ประเทศอาจถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำให้เกิด "นักบา" ครั้งที่ 2 โดยอ้างถึงเหตุการณ์ในปี 2491 เมื่อชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิดระหว่างการก่อตั้งอิสราเอล
ทั้งรัฐบาลอียิปต์และจอร์แดน จะพบกับการต่อต้านจากภายในประเทศอย่างกว้างขวาง พวกเขาอาจถูกมองว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำให้เกิด นักบา ครั้งที่ 2
การย้ายถิ่นบังคับของชาวปาเลสไตน์ไปยังอียิปต์หรือจอร์แดนอาจสร้างภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรจะส่งผลกระทบต่อการครองอำนาจของรัฐบาลโดยเฉพาะในจอร์แดน ซึ่งมีชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก ขณะที่อียิปต์และจอร์แดนไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยหลายล้านคนได้ทั้งในทางการเงินและสังคม
ชาวปาเลนไตน์เดินทางกลับกาซา ซิตี้
ทั้งอียิปต์และจอร์แดนเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ และทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลแล้ว แม้จะมีการประสานงานด้านความมั่นคง แต่ทั้ง 2 ประเทศก็ต้องเผชิญกับความไม่พอใจจากประชาชนที่สนับสนุนปาเลสไตน์ การย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากกาซาอาจกระทบต่อความสัมพันธ์เหล่านี้และยิ่งเพิ่มแรงกดดันจากภายในประเทศ
ปัจจุบันจอร์แดน มีประชากรปาเลสไตน์อยู่แล้วราว 2,390,000 คน ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นผู้ลี้ภัยโดย UNRWA รมว.ต่างประเทศจอร์แดน ระบุชัดเจนว่า "จอร์แดนเป็นของชาวจอร์แดน ปาเลสไตน์เป็นของชาวปาเลสไตน์" ส่วนอียิปต์ ปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยกว่า 877,000 คน และยังรับชาวกาซามากถึง 100,000 คนที่หนีภัยสงครามในช่วงที่ผ่านมา
ทั้ง 2 ประเทศมีความกังวลว่าสถานะของพวกเขาในฐานะผู้รับชาวปาเลสไตน์เพิ่มเติม อาจทำให้เกิดแรงกดดันทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากดินแดนของพวกเขาถูกใช้เป็นฐานโจมตีอิสราเอล
รมว.ต่างประเทศจอร์แดน - รมว.ต่างประเทศอียิปต์
การผลักดันข้อเสนอของทรัมป์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ตรงกันข้าม มันอาจเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ภูมิภาคนี้เข้าสู่ความไม่มั่นคงครั้งใหม่ นักวิเคราะห์ชี้ว่าข้อเสนอนี้เป็นการทำงานตามคำสั่งของกลุ่มฝ่ายขวาสุดโต่งของอิสราเอล และมีแนวโน้มที่จะทำให้พันธมิตรในภูมิภาคหันหลังให้กับสหรัฐฯ
อ่านข่าวอื่น :