วันนี้ (7 พ.ย.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุถึงการลงพื้นที่เกาะกูด จ.ตราด ในวันเสาร์ที่ 9 พ.ย.นี้ ว่า จะไปตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองทัพเรือ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บนเกาะกูดประมาณ 50 นาย และมีการผลัดเปลี่ยนกำลังทุก 6 เดือน ซึ่งในช่วงนี้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเกาะกูดจึงถือโอกาสไปดูสถานที่จริง และดูว่ากำลังพลมีความขาดแคลนในเรื่องอะไร เพื่อเสริมให้เหมาะสมกับคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งไปดูสภาพต่าง ๆ ว่ายังคงมั่นคงแข็งแรงหรือไม่
พร้อมทั้งเป็นยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของคนไทย เพราะมีกองกำลังทหารปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของประเทศ รวมทั้งมีหน่วยราชการอีกหลายหน่วย และที่ว่าการอำเภออยู่บนเกาะกูด ซึ่งเป็นมาอย่างนี้นานแล้ว จึงอยากให้เข้าใจว่าพื้นที่นี้เป็นของไทยและเป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส และทางกัมพูชาก็ไม่เคยตั้งคำถามใด ๆ กับไทย ขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้
และขณะนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน รวมถึงอดีต รมว.ต่างประเทศ หลายยุคสมัยพูดชัดเจนว่า MOU 44 เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากการประกาศไหล่ทวีปที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน และต้องใช้ MOU 44 เป็นเครื่องมือในทางสันติเพื่อตกลงกัน ไม่ใช่การใช้อาวุธเข้าดำเนินการ ทั้งนี้เกาะกูดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมีทะเลที่สวยงาม ซึ่งการลงพื้นที่เพื่อให้คนที่มาเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น และการท่องเที่ยวไม่สะดุด
ส่วนที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการแบ่งสรรผลประโยชน์แหล่งปิโตรเลียมพาดพิงนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการพูดด้วยจินตนาการต่าง ๆ โดยไม่รู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร ทำให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงอยากให้ฟังข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นจริงทั้งหมด แล้วค่อยมาวิจารณ์ อย่าให้การวิจารณ์กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง และความเชื่อมั่นต่าง ๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ
เช่นในกรณีของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ที่วิจารณ์นายกรัฐมนตรีนั้น เชื่อมโยงประเด็น MOU44 โดยมองว่า การใช้องค์ความรู้ที่อาจไม่มีส่วนเข้าใจมาวิพากษ์วิจารณ์จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นโดยเปล่าประโยชน์ และไม่เป็นคนดีต่อประเทศ
ส่วนข้อกังวลว่าการเมืองในประเทศจะส่งผลต่อการเมืองระหว่างประเทศอย่างเช่น เหตุการณ์ปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับประชาชน ซึ่งขณะนี้กระแสในโซเชียลก็ลดลงแล้ว จึงอยากให้คำนึงถึงข้อเท็จจริง พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้กลัวการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ต้องสอดรับกับความเป็นจริง ซึ่งขณะนี้การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยเป็นไปตามหลักการ และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ก็เป็นไปได้ดี
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม คปท.ในประเด็นเกาะกูด นั้น อาจจะเริ่มต้นจากความไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด แต่เมื่อข้อเท็จปรากฎแล้ว ในฐานะวิญญูชนทั้งหลายก็ควรเข้าใจได้ว่าเมื่อไม่ใช่สิ่งที่เป็นประเด็น ก็ไม่ควรจะหยิบขึ้นมาเป็นประเด็น เพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ จึงหวังว่ากลุ่ม คปท.จะเข้าใจ และเชื่อว่าประชาชนในพื้นที่ไม่มีปัญหาอะไร และยังคงแข็งแรง
อ่านข่าว : คุมตัว "ทนายตั้ม-ภรรยา" สอบปากคำที่กองปราบ
เปิด 23 แข้งช้างศึกลุยฟีฟ่า เดย์ เดือน พ.ย. "ธีรศักดิ์ - ศุภณัฏฐ์" ล่าตาข่าย