ทีทีบี ห่วงเงินทุนต่างประเทศหด ชี้ไทยเสียเปรียบ "ต้นทุน-ค่าแรง"

เศรษฐกิจ
17 ต.ค. 67
18:47
97
Logo Thai PBS
 ทีทีบี ห่วงเงินทุนต่างประเทศหด  ชี้ไทยเสียเปรียบ "ต้นทุน-ค่าแรง"
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี ห่วงไทยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศได้ไม่เหมือนเดิม เหตุมุ่งเน้นสิทธิประโยชน์ช่วยเฉพาะฝั่งต้นทุน แนะ รัฐยกระดับศักยภาพหนุนรายได้ภาคธุรกิจ กระตุ้นเชื่อมั่นลงทุนเพิ่มขึ้น

วันนี้ ( 17 ต.ค.2567) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics  วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันไทยมีความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไม่เหมือนเดิม เหตุภาครัฐมุ่งเน้นเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ซึ่งเป็นประโยชน์ฝั่งต้นทุนเป็นสำคัญ

แต่ยังขาดการสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างรายได้ของกิจการ แนะภาครัฐมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประเทศและยกระดับกำลังซื้อเพื่อสร้างแต้มต่อให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น พร้อมวางความพร้อมเรื่องแรงงานทักษะที่สามารถรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

ทั้งนี้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการเป็นรากฐานการสร้างความเจริญเติบโตในอนาคต เริ่มตั้งแต่การเข้ามาตั้งฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทต่างชาติที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงเกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีและโอกาสในการสรรสร้างนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มโอกาสในการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทั้งต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ

ซึ่งในอดีตไทยนับเป็นแหล่งเป้าหมายสำคัญของเม็ดเงิน FDI ที่เข้ามาขยายการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) โดยในช่วงปี 2538-2547 ไทยมีเงินลงทุน FDI สูงเป็นสัดส่วนถึง 35.3% ของ FDI ที่เข้า ASEAN ไม่รวมสิงคโปร์ จึงมีส่วนช่วยให้ไทยมีรากฐานการเจริญเติบโตที่แข็งแกร่งและสามารถสร้างความเจริญเติบโตหลังเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งได้สูงถึง 4.6% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม นับจากปี 2548 เม็ดเงิน FDI ของไทยเพิ่มขึ้นช้าลงเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN ด้วยกัน ทำให้เม็ดเงิน FDI ของไทยมีสัดส่วนเพียง 20.6% ในช่วงปี 2548-2557 และลดลงต่อเนื่องเหลือราว 10.4% สำหรับปี 2558-2566 ส่งผลให้ไทยมีแรงส่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สูงนักเพียง 1.8% ต่อปี โดยถ้านับจากหลังวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ จากการขาดแรงส่งของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี วิเคราะห์อีกว่า ประเด็นที่น่ากังวลปีที่ผ่านมาพบว่า สัดส่วนการลงทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 4.6% แสดงให้เห็นถึงการที่ไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้

ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยไม่ได้เหมือนเดิม ซึ่งเน้นในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ที่ช่วยเฉพาะฝั่งต้นทุน ทำให้นักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนที่ไม่เป็นเพียงการลดต้นทุนให้ต่ำลงเพียงปัจจัยเดียว

อย่างไรก็ตาม ทุนต่างชาติมองหาการหาจุดที่เหมาะสมมากที่สุด (Optimization) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกำไรสูงสุด (Maximize Profit) พบว่า ไทยยังมีข้อเสียเปรียบในมิติทั้งสองด้านรวมถึงมิติอื่น ๆ ในเชิงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น มิติเรื่องต้นทุน (Cost Challenges) ซึ่งปัจจัยแรงงานเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกแหล่งลงทุนก่อตั้งกิจการ

โดยต้นทุนค่าแรงจะถูกกำหนดจากนโยบายของภาครัฐผ่านอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีการขยับค่าแรงขั้นต่ำหลายระลอก เช่นในช่วงปี 2556 ที่ขยับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนในปัจจุบันอยู่ที่ 330-370 บาทต่อวัน ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 173-250 บาทต่อวัน หรือฟิลิปปินส์มีค่าแรงขั้นต่ำราว 229 บาทต่อวัน

ทั้งนี้ค่าแรงที่สูงกว่าย่อมกระทบต่อต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมโดยเฉพาะที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor Intensive) รวมถึงการลดต้นทุนผ่านสิทธิประโยชน์ในการลงทุนผ่านนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ พบว่า ในแต่ละประเทศให้สิทธิประโยชน์ที่ใกล้เคียงกัน ไทยจึงอาจไม่สามารถสร้างข้อได้เปรียบหรืออาจส่งผลถึงความเสียเปรียบในเชิงเปรียบเทียบ

เนื่องจากการลงทุนเพื่อก่อตั้งกิจการเป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซึ่งต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงต่อเมื่อมีปริมาณการขายหรือผลิตได้มากเพียงพอ (Economies of Scale) รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีก็ย่อมที่จะได้มากเมื่อธุรกิจเกิดกำไรจำนวนมาก

ความได้เปรียบในเรื่องนี้ของไทยยังคงถูกจำกัด เนื่องจากปัจจัยด้านศักยภาพในการสร้างรายได้ของไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

ในขณะที่การสร้างรายได้ (Revenue Generation Opportunities) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลงทุน เนื่องจากทำเลที่มีศักยภาพ มักมาพร้อมกับต้นทุนที่ราคาแพง ดังนั้น การเลือกพื้นที่ตั้งกิจการอาจต้องตอบโจทย์ความสามารถในการสร้างรายได้ทั้งจากตลาดในประเทศและจากการส่งออก

โดยพบว่าไทยมีข้อเสียเปรียบประเทศคู่แข่งใน ASEAN เช่น กำลังซื้อของคนในประเทศสะท้อนผ่าน GDP Per Capita ของไทยที่ในรอบ 10 ปี (2556-2566) เพิ่มขึ้นเพียง 15.3% ในขณะที่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย กลับมีรายได้ต่อหัวเพิ่มถึง 64%, 37.6%, และ 30.2% ตามลำดับ

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงภาคการส่งออกประเทศในกลุ่ม ASEAN ไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบมากนัก ในเรื่องสถานที่ตั้งที่ได้เปรียบในพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก แต่ไทยมีข้อเสียเปรียบค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับเขตเศรษฐกิจยุโรป (EU) ที่มีโอกาสในการเปิดพื้นที่การค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าไทยถึงกว่า 27 ประเทศ

นอกเหนือจากความเสียเปรียบทั้งมิติของโอกาสการสร้างรายได้และปัจจัยด้านต้นทุน การลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยยังมีปัจจัยท้าทายอื่นที่ต้องเผชิญ (Other Challenges to Confront) เช่น ปัจจัยความพร้อมด้านกำลังแรงงานในระยะ 10 ปีข้างหน้า

ประชากรวัยแรงงานของไทยจะลดลง 2.7 ล้านคน ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย กลับมีประชากรวัยแรงงานเพิ่มขึ้น 14.9 ล้านคน 4.9 ล้านคน และ 1.9 ล้านคน

ในขณะที่แรงงานคุณภาพในอนาคตที่ต้องพร้อมรับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของ เทคโนโลยีดิจิทัล การผลิตขั้นสูง และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์) พบว่าแรงงานไทยมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาทักษะเพื่อเป็นแรงงานทักษะในอนาคต โดยไทยอยู่อันดับที่ 52 ตามหลังเวียดนาม มาเลเซีย สะท้อนถึงประสิทธิภาพในระบบการศึกษาไทยที่ยังตามหลังประเทศอื่น และจะส่งผลระยะยาวในการยกระดับแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงได้อย่างจำกัด

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี เผยอีกว่า บนข้อเสียเปรียบหลายประเด็นในการดึงดูดเม็ดเงิน FDI จึงเป็นโจทย์ที่ทางภาครัฐอาจต้องทบทวนถึงปัญหาอย่างจริงจัง โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี มองว่า ปัญหาหลักอาจเกิดจากที่ไทยพยายามมุ่งเน้นเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดกลุ่มทุนต่างชาติซึ่งเป็นเพียงมิติฝั่งต้นทุน

แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสการสร้างรายได้ของกิจการที่เข้ามาลงทุน ผ่านจุดมุ่งหมายอันทะเยอทะยานที่สามารถสร้างความเชื่อมั่น ดังเช่น เวียดนามที่มีเป้าหมายจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2573 หรือ อินโดนีเซียประกาศจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงในอีก 20 ปีข้างหน้า เป็นต้น

อ่านข่าว:

ส่งออกไทยแข่งยาก TTB ชี้ 70% ถูกดิสรัป แนะนักลงทุนเร่งปรับตัว

มาตรการแจกเงินหมื่น เกียรตินาคิน ชี้ หนุนเศรษฐกิจฟื้นชั่วคราว

“เศรษฐกิจสูงวัย” ยังไม่ตอบโจทย์ ตลาดเศรษฐกิจโลก ?

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง