ไม่เพียงแต่อุณหภูมิความร้อนที่ผิวกายของคนสัมผัสได้ถึงความร้อน แต่ระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะปะการังถือว่ามีความอ่อนไหวมากที่สุดหากอุณหภูมิน้ำทะเลอุ่นขึ้นเพียงแค่ 1-2 องศาเซลเซียส
จับตาปะการังเริ่มฟอกขาว
เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ของ ผศ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า เตือนไว้ 4 ประเด็นคือ น้ำทะเลช่วง ก.พ.ปีนี้ ร้อนกว่าปีที่แล้ว และยังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้อาจเกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน และ Great Barrier Reef ก็เกิดปะการังฟอกขาวแล้วกว่า 1,000 กิโลเมตร
การฟอกขาวของปะการัง จะส่งผลต่อระบบนิเวศอื่นๆ ทั้งหญ้าทะเล แพลงก์ตอนบลูม กระทบการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และยังรวมไปถึงเรื่องการทำมาหากิน จับสัตว์ทะเล หรือการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
อ่านข่าว โลกร้อนพ่นพิษ นับถอยหลัง 30 ปี ปะการังทั่วโลกตาย 90 %
ปะการังของ Great Barrier Reef ฟอกขาวมากถึง 1,000 กม.
น้ำทะเลอุ่นขึ้น 1 องศาฯ แตะ 31 องศาฯ
ผศ.ธรณ์ กล่าวว่า คาดการณ์ว่าอุณหภูมิน้ำทะเลปีนี้หากเทียบกับปี 2566 ในช่วงเวลาเดียวกันสูงกว่า 1 องศาเซลเซียส และในเดือนมี.ค.ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่สถานีที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี วัดอุณหภูมิน้ำทะเลแบบเรียลไทม์ พบว่าเกิน 31 องศาเซลเซียสไปแล้ว และอาจจะร้อนที่สุดตั้งแต่บันทึกมา
หากเกิดปะการังฟอกขาว จะทำให้ปะการังตายและมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว อย่างแน่นอน เพราะบางแห่งเช่นหมู่เกาะสุรินทร์ 2 ปีปะการังยังฟื้นตัวยาก ตายแล้วตายเลยเพราะมีการฟแกขาวซ้ำซ้อน ถ้าเป็นปีเอลนีโญ่ด้วย
อ่านข่าว สอบปม "กะเทยฟิลิปปินส์" อยู่ไทยผิด กม. บางคนหนีกลับประเทศ
ตรวจพบน้ำทะเลสถานีศรีราชาอุ่นขึ้น1 องศาฯ วัดค่าได้ 31 องศาฯ
นอกจากนี้อาจารย์ธรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบปรากฎการณ์แพลงตอนบูมหรือน้ำทะเลเขียว ซึ่งในอดีตเกิดน้ำทะเลเขียวปีละ 15 ครั้งแต่ปีที่ผ่านมา มากถึง 70 ครั้ง ถือว่าความรุนแรงจะเร่งสปีดทั้งปะการังฟอกขาว หญ้าทะเลตาย และน้ำทะเลเขียวบ่อย ๆ ซึ่งเป็นผลกระทบวงกว้างต่อเนื่องเป็นวงกว้างของห่วงโซ่อาหาร กระทบต่อการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
มีรายงานว่าในช่วงเดือน เม.ย.ปี 2566 พบว่าปะการังฟอกขาว แต่ไม่มากนักโดยอยู่ที่ 5-10 % ประกอบกับเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน เมื่อฝนตกก็จะช่วยให้อุณหภูมิของน้ำลดลงเป็นสิ่งที่ดีกับตัวปะการังทำให้ไม่ฟอกขาวรุนแรง
อ่านข่าว
โลกเผชิญ “ซูเปอร์เอลนีโญ-ลานีญา” 5 ครั้ง
เดือนม.ค.67 อุ่นเป็นประวัติการณ์
ขณะที่มีข้อมูลจากคอปเปอร์นิคัส ไคลเมตเชนจ์ เซอร์วิส โดยศูนย์พยากรณ์อากาศยุโรป และองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ NOAA ที่รายงานชัดเจนตรงกันว่า ช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา คือเดือนมกราคมที่อุ่นที่สุด และคาดการณ์ว่าปีนี้อาจจะเป็นปีที่ร้อนที่สุด นับตั้งแต่ที่เก็บข้อมูลมาก็เป็นไปได้
กราฟที่ NOAA เผยแพร่ แสดงให้เห็นว่า ช่วงเดือนม.ค.2567 อุณหภูมิพื้นผิวโลก สูงว่าระดับค่าเฉลี่ยศตวรรษที่ 20 ถึง 1.27 องศาเซลเซียส และสูงกว่าปี 2016 ที่เคยเป็นสถิติปีที่มีเดือนมกราคมที่อุ่นที่สุด 0.04 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ 22% ที่ปี 2024 นี้ จะเป็นปีที่อุ่นที่สุดนับตั้งแต่ที่บันทึกไว้ และมีโอกาส 99% ที่ปีนี้จะร้อนที่สุดติด 5 อันดับแรกที่เคยบันทึกไว้
นอกจากนี้เดือนม.ค.ที่ผ่านมา ยังเป็นเดือนที่สถิติอุณหภูมิผิวทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน ภาวะเอลนีโญ่ ยังส่งผลต่อเนื่อง แต่เริ่มอ่อนกำลังลงในเขตศูนย์สูตร โดยและคาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.นี้โดยมีความเป็นไปได้ 55%ที่จะเกิดภาวะลานีญาได้ในช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค.นี้
อ่านข่าวอื่นๆ
ไขคำตอบ "ดาวตกชนิดลูกไฟ" แสงเขียวเหนือท้องฟ้าไทย
"นักข่าวอาชีพ" กับคุณค่าข่าว ยึดจริยธรรม-กฎหมาย
รายงานฉบับที่ 6 ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ปี 2022 ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่โลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ภายใน 2030 - 2040
แต่ข้อเท็จจริงอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2015 ย่อมส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศทั้งบนดินและในทะเลลึก โดยเฉพาะปะการังปะการัง (Coral) เป็นสัตว์ทะเล ประเภทสัตว์ชั้นต่ำ ไม่มีกระดูกสันหลัง
จัดอยู่ใน (Phylum Coelenterate) อยู่ใน (Class Anthozoa) มีโครงสร้างภายนอกเป็นหินปูน ที่ตัวปะการังสร้างขึ้น มาเองโดยอาศัยแคลเซียม ซึ่งมีอยู่มากมายในท้องทะเล
ตัวปะการัง อยู่ภายในโครงสร้างหินปูน เรียกว่า โพลิป ( Polyp ) มีลักษณะเป็นถุงอ่อนนิ่มขนาดเล็ก เมื่อมีอยู่จำนวนมากจะก่อตัวเป็นแนวปะการัง ซึ่ง ระบบนิเวศปะการัง มีความหลากหลายทางชีววิทยา ทั้งพันธุ์พืชและสัตว์
แต่เมื่อน้ำทะเลร้อนจัด ระบบนิเวศเปลี่ยน การปล่อยน้ำเสีย หรือแม้แต่การใช้ครีมกันแดดของมนุษย์ที่ลงไปเล่นน้ำทะเล ก็ทำให้กิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว (coral bleaching) หรือเนื้อเยื่อปะการังมีสีซีดหรือจางลงจากการสูญเสีย สาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae) ต้องออกมาจากเนื้อเยื่อของปะการัง
น้ำทะเลอุณหภูมิสูง เสี่ยงปะการังฟอกขาว
รศ.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกกับ ไทยพีบีเอส ออนไลน์ ว่า โลกไม่ได้ร้อนเพิ่มขึ้นแค่ 1.5 องศาเซลเซียส แต่บางพื้นที่สูงขึ้นมากกว่านั้น เช่นที่ขั้วโลกเหนือ อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3 - 4 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ไม่ได้กระทบเฉพาะในชั้นบรรยากาศ แต่ยังส่งผลไปในทะเลด้วย โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวที่สุดอย่าง ปะการัง
รศ.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยปกติ ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวและอาจจะตายได้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้นปีเว้นปี หรือในแต่ละพื้นที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ปีนี้อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงถึง 40 องศาเซลเซียส จึงต้องเฝ้าระวังว่า ปะการังจะได้รับผลกระทบแค่ไหน แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่ได้รับผลกระทบคือ ออสเตรเลีย โดยเฉพาะในเกรตแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) ที่มีปะการังฟอกขาวพอสมควร
ส่วนสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในไทยช่วง 10 ปีที่แล้ว ได้รับผลกระทบมาก แต่ปัจจุบันปะการังทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้น และแม้จะมีการฟอกขาวก็ยังถือว่าน้อย
รศ.สุชนา อธิบายว่า อุณหภูมิทั่วโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกและขั้วโลกใต้ละลาย แม้ระยะทางจะห่างจากไทยกว่า 10,000 กม.อาจรู้สึกไม่ส่งผลกระทบ แต่เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายระดับน้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ หมายความว่าปะการังก็จะอยู่ในน้ำที่ลึกกว่าปกติ และแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะส่องลงไปถึงปะการังยากขึ้น ก็จะทำให้ปะการังตายได้
ระดับน้ำที่สูงขึ้น ยังส่งผลต่อปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งทำให้ตะกอนก็จะตกลงไปในทะเล และเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปะการังตายได้ ทุกอย่างส่งจะผลเชื่อมโยงกันหมด
รศ.สุชนา กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นและยังมีการทำกิจกรรมที่ต่อเนื่องกับทะเลและปะการัง ปะการังมากกว่า 90% ทั่วโลกจะสูญพันธุ์ไป และจะส่งผลกระทบต่อตัวสัตว์และมนุษย์เป็นห่วงโซ่ เพราะปะการังเปรียบเสมือนบ้านให้กับสัตว์นานาชนิด ถ้าไม่มีบ้าน สัตว์เหล่านั้นก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็จะสูญพันธุ์ไป
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนปะการัง "ทะเลอันดามัน" ปรับตัว
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในไทยจะเกิดขึ้นทั้งในอ่าวไทยและอันดามัน แต่ในทะเลฝั่งอันดามันปะการังจะมีอ่อนไหวมากกว่า เนื่องจากน้ำทะเลใส แสงแดดจะส่องถึงปะการังได้มากกว่าจึงฟอกขาวมากกว่า ขณะที่ปะการังฝั่งอ่าวไทยจะฟอกขาวน้อยกว่า เนื่องจากน้ำขุ่นแสงแดดส่องลงมาได้น้อย
นอกจากนี้ ปัญหาดินตะกอน และมลพิษก็ส่งผลกระทบต่อการฟอกขาวของปะการังเช่นกัน แต่อีกมุมหนึ่งก็ทำให้ปะการังในพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยปรับตัว ทนต่อการฟอกขาวและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้สูงกว่าปะการังฝั่งอันดามัน
รศ.สุชนา กล่าวว่า ผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ พบว่า หากอุณหภูมิในทะเลอันดามันสูงเกิน 30 องศาเซลเซียส จะทำให้ปะการังฟอกขาวได้ง่าย ขณะที่ อ่าวไทยถ้าอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ปะการังอาจจะยังไม่ฟอกขาว
ทั้งนี้ พบข้อมูลว่า ปะการังในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนเคยมีการฟอกขาวที่รุนแรง โดยอุณหภูมิช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 33-34 องศาเซลเซียสขึ้นไปจึงจะมีการฟอกขาวหนัก แต่การจัดการที่ดีในปัจจุบัน ทำให้ปะการังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ระดับหนึ่งแต่ยังคงต้องติดตามและเฝ้าระวังให้ถี่ขึ้น
ในช่วงเดือน เม.ย.ปี 2566 พบว่า ปะการังมีการฟอกขาว แต่ไม่มากนักโดยอยู่ที่ 5 -10 % ประกอบกับเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน เมื่อฝนตกก็จะช่วยให้อุณหภูมิของน้ำลดลงเป็นสิ่งที่ดีกับตัวปะการังทำให้ไม่ฟอกขาวรุนแรง