วันนี้ ( 21 ธ.ค. 2566) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ในการรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบของภาครัฐ จากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่เรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
หอการค้าฯ เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งในส่วนของหอการค้าฯ และเครือข่ายพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาล และจะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้มีศักยภาพในการชำระหนี้และมีเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป
หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ต้องช่วยกันหาแนวทางและมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มหรือเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบเกิดผลสำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืน
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง:
ลดเพดานดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75% ช่วยเเก้หนี้ในระบบกลุ่ม ขรก.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย กล่าวว่า มูลหนี้ทั้งหมดในระบบของประเทศไทย ครอบคลุมหนี้ครัวเรือนจำนวน 16 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของ GDP โดยในส่วนของข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะพบว่ามีมูลหนี้อยู่ประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท
หนี้บ้าน 4.9 ล้านล้านบาท หนี้เช่าซื้อ 2.6 ล้านล้านบาท หนี้บัตรเครดิต 5.4 แสนล้านบาท หนี้ส่วนบุคคล 2.5 ล้านล้านบาท หนี้เกษตร 8.7 แสนล้านบาท หนี้พาณิชย์ 6.7 แสนล้านบาท และหนี้อื่น ๆ 1.3 ล้านล้านบาท รวมลูกหนี้ทั้งหมดจำนวน 100 ล้านบัญชี ซึ่งในทั้งหมดนี้มีหนี้ที่เป็น NPL สูงถึง 1 ล้านล้านบาท
ส่วนมูลหนี้ที่เหลืออีกจำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์สำหรับข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. โดยหนี้ทั้ง 2 กลุ่มนี้บางส่วนได้รับการแก้ไขและมีความชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้คงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ขณะเดียวกันจากการติดตามปัญหาหนี้นอกระบบ เชื่อว่ามีจำนวนมูลหนี้อยู่อีกไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการแก้ไข พรบ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดคือการปล่อยกู้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีหรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการจัดการหนี้นอกระบบจะเป็นไปตามกระบวนกฎหมาย ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยและนำไปสู่ข้อยุติ โดยเจ้าหนี้สามารถจดทะเบียนใบอนุญาตปล่อยสินเชื่อเข้าในระบบที่ถูกต้องได้ เช่น นาโนไฟแนนซ์ หรือ พิโกไฟแนนซ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะหนี้สินทั้งประเทศที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องอันตรายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้ทั้งระบบอย่างสุดความสามารถ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทุก ๆ ร้อยละ 1 ที่ลดลงจะช่วยรักษาสถานภาพของผู้กู้จำนวนหนึ่งให้ไม่เข้าสู่การเป็นหนี้ NPL
อ่านข่าวอื่นๆ:
เปย์ไม่อั้น คนไทย 71% ทุ่มฉลอง "ปีใหม่"คาดสะพัดแสนล้าน
"กบฏฮูตี" โจมตีเรือสินค้าไม่กระทบไทย พณ.แนะเลี่ยงทะเลแดง
ขาช็อปฟัง! Easy e-Receipt ลดภาษี 5 หมื่นเริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.67