องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยรายงานประจำปีว่าด้วย Emissions Gap ซึ่งประเมินการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกของแต่ละประเทศที่ให้คำมั่นและตั้งเป้าร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน ปรากฏว่า ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าโลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่การมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 3 องศาเซลเซียสภายในช่วงศตวรรษนี้ พร้อมเตือนว่าโลกกำลังมุ่งสู่สภาวะราวกับนรก
เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม โลกจะร้อนขึ้น 2.5-2.9 องศาเซลเซียสภายในช่วงศตวรรษนี้ หากประเทศต่างๆ ไม่ยกระดับมาตรการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ซึ่งหากโลกร้อนขึ้นเกือบ 3 องศาเซลเซียสจริง นักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลกจะผ่านจุดวิกฤตหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีก ไม่ว่าจะเป็นธารน้ำแข็งละลาย ป่าแอมะซอนแห้งแล้งและอื่นๆ
หากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน หนีไม่พ้นภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ ที่เห็นได้ชัดเจน ข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก วัดจนถึงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่ามีวันที่ร้อนกว่าช่วงกลางศตวรรษที่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส มากถึง 86 วัน
แต่หากดูต่อมาจนถึงขณะนี้ วันที่ร้อนกว่าช่วงกลางศตวรรษที่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้นเป็น 127 วัน เนื่องจากทั้งเดือน ต.ค.และเกือบตลอดทั้ง 2 สัปดาห์แรกของเดือน พ.ย. ร้อนทะลุเพดานดังกล่าวเกือบทุกวัน เท่ากับ 40% ของทั้งปีที่ผ่านมา โลกร้อนขึ้นทะลุ 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว และเมื่อวันศุกร์ที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่โลกร้อนขึ้นจากยุคก่อนอุตสาหกรรม ทะลุ 2 องศาเซลเซียส อ้างอิงข้อมูลจาก Copernicus
รายงานฉบับนี้เผยแพร่ออกมาสัปดาห์กว่าๆ ก่อนที่การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 หรือ COP28 จะเปิดฉากขึ้นที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งจะมีตัวแทนจากประเทศสมาชิก 197 ประเทศเข้าร่วม เป้าหมายการประชุมครั้งนี้ยังอยู่ที่การทำตามข้อตกลงปารีส คือรักษาไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้สำเร็จ
หากทั่วโลกจะบรรลุเป้าหมายการรักษาไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะต้องลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกให้ได้ถึง 42% ภายในปี 2030 ซึ่งปี 2022 การปล่อยคาร์บอนจากการเผาถ่านหิน น้ำมันและแก๊สทั่วโลก เพิ่มขึ้น 1.2%
อ่านข่าวอื่นๆ
หมอกควันหนาทึบคลุม "นิวเดลี" เปิดใช้หอกำจัดควันลดมลพิษ