วันนี้ (18 ก.ค.2566) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีวิป 3 ฝ่ายยังไม่ได้ข้อยุติว่าในวันพรุ่งนี้จะสามารถเสนอชื่อนายพิธา รอบที่ 2 ให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ว่า เรื่องนี้ในที่ประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้มีการอธิบายข้อกฎหมายว่าไม่เกี่ยวข้องกัน
การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ญัตติ ยอมรับว่ากังวลใจหากจะมีการคว่ำญัตติเพื่อสกัดกั้นตัวเองเพียงคนเดียว เพราะจะส่งผลต่อระบบทั้งหมด เนื่องจากจะเกิดการผูกมัดทางการเมือง อาจส่งผลถึงพรรคที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
อ่านข่าว : วิป 3 ฝ่าย ไม่ได้ข้อสรุป โหวตนายกฯรอบ 2
ทำให้การเสนอชื่อคนดำรงตำแหน่งกลายเป็นญัตติไปหมด ซึ่งจะเป็นการผูกที่แก้ไขยาก แล้วจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตกรณีของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหากลงมติในครั้งแรกไม่ผ่าน เช่น อาจจะติดว่าเคยไปถ่ายรูปกับใครมา
ดังนั้นตรงนี้ต้องดึงสติกันให้ชัด และต้องเห็นความแตกต่างระหว่างการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับญัตติ ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดว่าหากเสนอญัตติต้องเข้าชื่อกัน แต่กรณีนี้ไม่ใช่การยื่นญัตติ จึงคิดว่าหากไปตีความเพื่อสกัดตนแล้วส่งผลกระทบทั้งระบบเป็นเรื่องที่น่ากลัว และไม่ควรทำ
ส่วนความเป็นไปได้ในการขอเพิ่มเสียงโดยการดึงพรรคที่ 9 และที่ 10 มาร่วมนั้น นายพิธากล่าวว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องที่เลขาธิการพรรคไปสอบถามว่าจะมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือไม่ ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็ดำเนินการตามที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม ก็เข้าใจกันทุกฝ่าย ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ส่วนหากมีพรรคไหนพร้อมโหวตให้จะให้ร่วมงานด้วยหรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องที่หารือกันอีกครั้ง
ส่วนการปรับแก้ MOU นั้นจะมีเงื่อนไขอะไรเพิ่ม นายพิธากล่าวว่า 8 พรรคยังคงเหมือนเดิมและไม่ได้รับการติดต่อจากพรรคไหน
ส่วนการตอบรับมาร่วมรัฐบาลนั้นถ้าได้รับการตอบรับ ก็สามารถปรับยุทธศาสตร์ได้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หากไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็แสดงว่ายุทธศาสตร์ที่ผ่านมาไม่สามารถต้านแรงสกัดได้ ก็ต้องถอยเพื่อให้บ้านเมืองไปต่อได้
ส่วนเสียงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่เท่าไหร่นั้น นายพิธา กล่าวว่าหากเพิ่มขึ้นอีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์คือ 340-350 กว่าเสียง ตนเชื่อว่าเป็นทิศทางที่ดีที่เข้าใกล้ถึงเป้าหมาย รวมถึงเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือถ่วงเวลา แต่เป็นการตัดสินใจโดยสถิติและการโหวตมาตรานี้ เมื่อปี 2563 จนถึงปี 2565
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าหากพรรคก้าวไกลจะเปิดทางให้จะต้องออกแถลงการณ์ในนามพรรคนั้นนายพิธากล่าวว่าเมื่อถึงเวลาคงเป็นอย่างนั้น ส่วนการเตรียมแผนสำรองในการเสนอชื่อบุคคลอื่นแทนตนนั้นยังไม่เห็นสถานการณ์นั้น
อ่านข่าว : "อิ๊งค์" หนุน "เศรษฐา" นายกฯ หาก "พิธา" ชวดรอบ 2 เชื่อไร้งูเห่า
หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลจะอยู่ในสมการเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ เพราะเป็นรัฐบาลที่ร่วมกันจัดตั้ง 8 พรรคมี MOU อย่างชัดเจน และทำงานมาถึงขั้นนี้แล้ว หากพรรคอันดับ 1 ไปต่อไม่ได้ ก็ส่งไม้ให้พรรคอันดับ 2 และคงจะอยู่ในเรือลำเดียวกัน เพื่อตั้งรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน
ส่วนกรณีที่ สว. ระบุว่าหากพรรคก้าวไกลไม่แก้มาตรา 112 ก็พร้อมที่จะโหวตให้นั้นจากการฟังการอภิปรายในวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นโอกาสทำให้เห็นภาพได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจความกังวลของ สว. ในแต่ละประเด็นมากขึ้น จึงเห็นว่าการอภิปรายในวันนั้นทำให้แนวคิดของ สว. และตนเข้าใกล้กันมากขึ้น จึงรู้สึกว่ามีความคืบหน้า ยืดหยุ่นพูดคุยกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจในสังคมไทย ส่วนเมื่อถามย้ำว่าพร้อมที่จะปรับเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่นายพิธากล่าวว่าขอฟังชัดๆ แล้วขอคุยกันอีกทีหนึ่ง
นายพิธา ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บอกให้ลดเพดานแล้วพร้อมจะโหวตให้นั้นว่าตนไม่แน่ใจว่าข้อเสนอนี้ยังอยู่หรือจบไปแล้ว เพราะเห็นจากสื่อว่าจบไปแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องนำมาวิเคราะห์กัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"เศรษฐา" บอกรอ กก.บห. เคาะ หลัง "อิ๊งค์" ชูชิงนายกฯ
เช็กเสียง สว.โหวตนายกฯ รอบ 2 เงื่อนตายไม่ถอย ม.112
ฉากทัศน์การเมือง วันโหวตนายกฯ รอบ 2