"บ้านเสาหิน" ถูกจัดการได้ดีระดับหนึ่ง เพราะหน่วยงานรัฐใน จ.แม่ฮ่องสอน สามารถเข้าถึงพื้นที่ แต่สองหมู่บ้านหลังไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ยังมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยเฉพาะการเดินทางเข้าถึงพื้นที่ แต่การช่วยเหลือแม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่น้ำใจคนที่อยากบริจาคช่วยเหลือ ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคมากนัก เท่ากับการได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่หนีภัยสู้รบ
บ้านอุนู เป็น 1 ใน 7 หมู่บ้านสาขาของบ้านจอซิเดอมี 25 หลังคาเรือน และมีหมู่บ้านคู่ขนานชายแดน คือ บ้านป่ากล้วย 1 ใน 3 หมู่บ้าน ที่อพยพเข้าไทยตรงข้ามบ้านอุนู 316 คน
ครอบครัวผู้อพยพหนีภัยความไม่สงบครอบครัวหนึ่งบอกว่า เธอและสามีพร้อมกับลูก หลบหนีเข้าไทยมาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
หมู่บ้านของเธออยู่ห่างชายแดนไทยไม่มาก ใช้เวลาเดินทางมาก็ใช้เวลาครึ่งวัน ครอบครัวเธอนั่งรถมา และเดินเท้าราว 2-3 ชั่วโมงมาถึงชายแดนไทยบริเวณบ้านอุนู
แม้หมู่บ้านของเธอจะไม่ถูกโจมตี แต่เสียงเครื่องบินที่บินวนเหนือหมู่บ้าน นี่คือเหตุผลสำคัญที่เธอและสามี ต้องพาลูกทั้งสองคนหนีเข้าฝั่งไทย เพราะกังวลการโจมตีทางอากาศด้วยการทิ้งระเบิด
เครื่องบิน บินวนเหนือหมู่บ้าน กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ต้องหนีเอาชีวิตรอดไว้ก่อน
ไม่ต่างจากหลายๆ ครอบครัว ที่พาทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และครอบครัวเข้าไทย ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ กังวลการโจมตีทางอากาศ
ชายวัยกลางคนผู้นำหมู่บ้าน บอกเล่าว่า เขาก็พาชาวบ้านหนีในช่วงกลางดึก เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ ต้องเอาชีวิตรอดพาทุกคนข้ามแดนมาที่ฝั่งไทย ข้าวของ สัตว์เลี้ยงต้องปล่อยทิ้งไว้ในหมู่บ้านทั้งหมด
ไม่มีใครอยากออกจากหมู่บ้าน เพราะหน้านี้ต้องทำนา และมีสัตว์เลี้ยง ต้องปล่อยให้กินในป่าในสวน ตอนนี้ยังไม่กลับไปดูเพราะกังวลความปลอดภัย
ชายคนนี้ ยังย้ำว่า ถ้าเหตุการณ์สงบจะรีบกลับทันทีไม่มีใครอยากอยู่ในไทย และขอบคุณคนไทยที่ดูแลเป็นอย่างดี
ปัจจุบันความช่วยเหลือทยอยเข้ามาที่บ้านอุนู ทั้งจากรัฐ เอกชน เพิงพักต่างๆผู้หนีภัยก่อสร้างแล้วเสร็จ เหลือเพียงระบบสาธารสุข เช่น ห้องสุขา และน้ำที่สะอาด