ราคาตก-ต้นทุนสูง-หมูเถื่อนตีตลาด ทำผู้เลี้ยงหมูจ่อเลิกกิจการ

วันนี้ (11 พ.ค.2566) นางราตรี คงอยู่ เกษตรกรในพื้นที่ หมู่ 5 ต.หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งประกอบอาชีพเลี้ยงหมูเป็นอาชีพเสริม กล่าวว่า ตนมีฟาร์มเลี้ยงหมูที่มีขนาดเล็กทั้งหมด 5 คอก กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาราคาหมูหน้าฟาร์มราคาตกต่ำ จากปกติเลี้ยงทุกคอกเต็มพื้นที่รวมประมาณ 70 ตัว แต่ละคอกจุได้ประมาณ 16-17 ตัว

แต่หลังจากราคาหมูหน้าฟาร์มราคาตกต่ำ ในระยะเวลา 4-5 เดือนมานี้ ทำให้พื้นที่คอกว่าง 3 คอก มีเลี้ยงเพียง 2 คอก คอกละ 11 ตัว และ คอกละ 9 ตัว รวมเหลือเลี้ยงประมาณ 20 ตัวเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงกับการขาดทุน

ต้นทุนหลักคือ ราคาอาหารสัตว์ เพราะ ทุกเบอร์ปรับราคาสูงขึ้นกระสอบละกว่าร้อยบาท จากเดิมกระสอบละ 500-600 บาท

ขณะนี้ปรับราคาขึ้นไปกระสอบละเกือบจะ 900 บาทแล้ว ล่าสุด จับขาย 2 คอก รวม 25 ตัว ขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 74 บาท ทำให้ขาดทุนไปหลายหมื่นบาท ซึ่งปกติควรจะขายได้ราคา กก. ละ 88–90 บาท เเต่หากราคาตกต่ำต่อเนื่องอาจต้องหยุดเลี้ยงชั่วคราว

ขณะที่ค่าไฟก็สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมเดือนละ 700 บาท ตอนนี้ต้องมาจ่ายเดือนละประมาณกว่า 2,000 บาท เพราะต้องเปิดไฟทิ้งไว้ให้แสงสว่าง ต้องใช้มอเตอร์สูบน้ำทำความสะอาด ต้องอาบน้ำให้หมูวันละ 2 ครั้ง เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัด

ตอนนี้เพิ่งซื้อลูกหมูมาเลี้ยงปล่อยลงคอกใหม่เพียง 9 ตัวเท่านั้น เลี้ยงได้เดือนเศษแล้ว ไม่กล้าซื้อมาเลี้ยงเต็มคอก ( 16 ตัว) เพราะอีกประมาณ 3 เดือน กว่าจะจับขายได้ ก็ไม่ทราบว่าราคาจะเป็นอย่างไร กลัวขาดทุน

ตอนที่หมูราคาดี เคยขายได้สูงถึง กก.ละ 105 บาท จับขายแต่ละครั้งได้กำไรเป็นแสนบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ราคาสุกรปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือน ม.ค. ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยอยู่ที่ 100.5 บาท/กก. จนถึงในเดือนเม.ย. ลดลงมาเฉลี่ยที่ 86.7 บาท/กก. และล่าสุดในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. ราคายังคงลงต่อเฉลี่ยที่ 84.3 บาท/กก.

สำหรับโจทย์ใหญ่ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องเผชิญในปี 2566 คงหนีไม่พ้นเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ยังยืนสูงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะต้นทุนราคาพืชอาหารสัตว์ ที่ขึ้นอยู่กับราคาในตลาดโลก ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกษตรโลก ยังสูงจากความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อ รวมไปถึงต้นทุนราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ต้นทุนการจัดการฟาร์มที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันโรค ASF ที่ยังคงมีอยู่ และสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเลี้ยงสุกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยที่คงได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่

อ่านข่าวเพิ่ม : 

เลือกตั้ง2566 : ชาวบ้านบึงกาฬแจ้ง ตร.จับชายแจกเงินซื้อเสียง

สภาพอากาศวันนี้ อุตุฯ เตือน "พายุดีเปรสชัน" ถล่มหลายจังหวัด 11-15 พ.ค.นี้