สับสนไปตามๆ กัน เรื่องคำร้อง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันพุธ (13 พ.ย.2567) กรณี “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นฟ้อง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 ปมคำสั่งให้ออกจากราชการไม่เป็นธรรม
อ่านข่าว : ศาล ปค.สูงสุดเผยผลชี้ขาด "บิ๊กโจ๊ก" ปมออกราชการรอคำพิพากษา
ท่ามกลางกระแสข่าวที่เหวี่ยงไปมา อ้างข้อมูลวงใน ตั้งแต่ข่าวว่าองค์คณะชุดเล็ก 5 คน เจ้าของสำนวนคดี มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรให้การคุ้มครองชั่วคราว ทำให้มีกระแสข่าวลือว่า ร้อนกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะ “บิ๊กโจ๊ก” จะกลับมา
ก่อนจะมีอีกกระแสข่าวในเวลาต่อมา อ้างที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด 57 คนเห็นว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นชอบแล้ว ไม่ควรให้การคุ้มครองชั่วคราว นำไปสู่ข่าวอีกกระแสว่า “บิ๊กโจ๊ก” หมดโอกาสหวนคืนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปิดฉาก “แมว 9 ชีวิต”
ยิ่งภายหลังที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองพากันปิดปากเงียบ ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นเหตุให้เกรียนบอร์ดและนักเลงอินเตอร์ทั้งหลาย แชร์ข้อความว่อนเน็ตว่า ศาลยกฟ้องคดีคำสั่งให้ออกจากราชการ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กระทั่งมีผู้รู้ด้านกฎหมายและขั้นตอนการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด โดยเฉพาะนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ได้อธิบายความให้ผู้คนทั่วไป ที่เฝ้าติดตามเรื่องคดีนี้ ให้มีความเข้าใจและกระจ่าง แม้ยังคงมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีก็ตาม
เริ่มตั้งแต่กรณีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ต้องผ่านที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดด้วย กรณีของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็เช่นกัน
มติเอกฉันท์ 5-0 ขององค์คณะชุดเล็ก นายปรเมศวร์ชี้แจงว่า ไม่ได้หมายความว่า “คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เห็นว่า ควรให้การคุ้มครองชั่วคราวไว้ก่อน ระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด”
แต่เมื่อเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณา กลับไม่เห็นชอบกับเรื่องให้การคุ้มครองชั่วคราว เพราะอายุรับราชการ “บิ๊กโจ๊ก” เหลืออีกถึง 6 ปี
เท่ากับระหว่างนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่ได้กลับคืนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะวินิจฉัย ซึ่งจะมีขั้นตอนกระบวนการ ตั้งแต่ให้ผู้ถูกฟ้องโดยตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวบุคคล ทำรายงานเป็นเอกสารชี้แจงข้อถูกร้อง และจะต้องส่งคำชี้แจงดังกล่าวให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เพื่อแก้ไขโต้แย้งอีกครั้ง ขั้นตอนนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
จากนั้น จะเป็นขั้นตอนการตรวจสอบ และแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม ขององค์คณะเจ้าของสำนวนจากเอกสาร ใช้วิธีไต่สวน ไม่มีการเบิกความ ก่อนจะสรุปทำแนวทางแถลงคดี โดยจะต้องเรียกผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องมารับฟังว่า จะเห็นด้วยหรือคัดค้านแนวทางแถลงคดีที่ว่า ก่อนจะรวบรวมเข้าสู่การพิจารณาขององค์คณะ 5 คน เชื่อว่า จะใช้เวลาในขั้นตอนต่าง ๆ ประมาณ 1 ปีครึ่ง
เท่ากับยังไม่ถึงขั้นปิดโอกาสการกลับคืนสำนักงานตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายปรเมศวร์เป็นห่วงมากกว่า คือคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ปลายทาง เพราะจะมีผลต่อระบบและความน่าเชื่อถือ ในกระบวนการยุติธรรมอย่างเลี่ยงไม่พ้น เพราะเรื่องคำสั่ง ก.ตร.เรื่องนี้ คณะกฤษฎีกาเห็นต่างกับทางตำรวจ
หากคำวินิจฉัยเป็นไปตามแนวทางของตำรวจว่า เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จะส่งผลกระทบ และถือเป็นหายนะของคณะกรรมการกฤษฎีกา อย่างเลี่ยงไม่พ้น
เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นที่รวบรวมบรมครูด้านกฎหมาย และเป็นที่ปรึกษารัฐบาลและหน่วยงานราชการ เห็นแย้งว่า คำสั่งไม่ชอบ เพราะกฎหมายตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนใหม่แล้ว หากจะทำต่อ ต้องยกเลิกคำสั่งปกครองแล้วออกใหม่ ไม่ใช่ให้เลิกเลย แต่ทางตำรวจยืนยันว่า คำสั่งถูกต้อง
ขณะเดียวกัน หากคำวินิจฉัยออกไปตามแนวทางของกฤษฎีกา ก็จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของตำรวจ เพราะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายโดยตรง แต่กลับใช้กฎหมายไม่เป็น แล้วประชาชนจะเชื่อถืออะไรได้
เรื่องคำสั่งให้ออกจากราชการของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องผลที่เกิดขึ้นตามมา กลับมีแนวโน้มว่า จะใหญ่กว่า สำคัญกว่า และมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในหน่วยงานด้านยุติธรรมมากกว่า บานปลายไปไกลกว่าที่คาด
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : ผบ.ตร.ไม่ขอวิจารณ์ปมให้ "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากราชการ
"สุวรรณภูมิ" สู่เวทีโลกคว้ารางวัลยูเนสโกติดอันดับสนามบินสวยที่สุด